วันจันทร์, พฤษภาคม 26, 2551

"โกะ" คืออะไร ?

"โกะ" คืออะไร ?

ตอบง่าย ๆ ..."โกะ" คือ หมากกระดานชนิดหนึ่ง มีต้นกำเนิดจากจีนครับ ...ภาษาไทยเรียกโกะว่า "หมากล้อม" ภาษาจีนเรียกโกะว่า "เหวยฉี" ส่วนคำว่า "โกะ" เป็นภาษาญี่ปุ่น ที่นิยมเรียกตามภาษาญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่โกะรุ่งเรืองที่สุด ...ปัจจุบัน ประเทศที่มีผู้คนเล่นโกะกันมากที่สุดได้แก่ ประเทศเกาหลี , ญี่ปุ่น , จีน , ไต้หวัน รวมทั้ง สิงคโปร์กำลัง สนับสนุนอย่างมาก ให้ประชาชนเล่นโกะ

หมากล้อม หรือโกะ เป็นกีฬาที่มีกฎกติกาเพียงเล็กน้อย กติกาข้อหลักสำคัญที่สุดคือ "วางหมากให้ล้อมพื้นที่ว่างให้ได้มากกว่าคู่ต่อสู้" การเล่นนั้นพลิกแพลงได้มากมายมหาศาล ...หมากรุกนั้น ยังมีคนสามารถสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้ชนะนักหมากรุกแชมป์โลกได้ แต่แม้ว่า จะมีผู้พยายามสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์โกะ ให้มีฝีมือเก่งที่สุดเพียงไร ก็ทำได้เพียงแค่เทียบเท่าระดับฝีมือล่าง ๆ เท่านั้น โปรแกรมคอมพิวเตอร์โกะที่เก่งที่สุดในโลกในปัจจุบัน เทียบได้กับฝีมือระดับ 5 คิวเท่านั้น ซึ่งเป็นระดับฝีมือค่อนข้างต่ำ โกะมีระดับฝีมือคิว (ระดับฝึกหัด), ระดับดั้ง (ระดับอาจารย์) และระดับดั้งโปร (มืออาชีพ)
ผมมั่นใจว่า เมื่อคุณเล่นโกะเป็น คุณจะรู้ว่าทำไมคอมพิวเตอร์จึงไม่สามารถมีฝีมือเทียบกับนักเล่นโกะระดับสูงได้


--------------------------------------------------------------------------------

มารู้จักโกะกันเถอะ

ย่อและเรียบเรียง จากบทความ "มารู้จักโกะกันเถอะ" ของคุณสุรพล อินทรเทศ (อ.ขวด)
หมากล้อม หรือ โกะ นั้นเดิม ถือกำเนิดขึ้น ในประเทศจีน เมื่อประมาณ 3000-4000 ปีมาแล้ว เป็นสิ่งแสดงถึง ความเก่าแก่ และลึกซึ้ง ของอารยธรรมจีน ...ในภาษาจีน เรียกโกะว่า "เหวยฉี" (Wei Qi)

เหวยฉี เป็นที่นิยมเล่นกัน ในหมู่ ปัญญาชนชั้นสูง และขุนนาง ผู้บริหารประะเทศ ในสมัยนั้น ...เหวยฉี หรือหมากล้อม เป็นหมากกระดาน ประจำชาติจีน ถูกจัดเป็น 1 ใน 4 ศิลปะประจำชาติจีน เป็นภูมิปัญญาจีนแท้ ในขณะที่หมากรุกจีน ยังมีเค้าว่า รับมาจากอินเดีย และเพิ่งจะแพร่หลาย ในสมัยราชวงศ์ถังเท่านั้น

ต่อมา เหวยฉี ได้แพร่เข้าสู่ญี่ปุ่น และเกาหลี ...ที่ญี่ปุ่นนี้เอง ที่เป็นแผ่นดินทองของ "โกะ" ซึ่งเป็นคำที่ญี่ปุ่นใช้เรียก เหวยฉี หรือหมากล้อม

...โกะรุ่งเรืองอย่างมากในญี่ปุ่น ...สมัย โชกุน โตกุกาว่า ได้สนับสนุน ให้ ทหารเล่นโกะ เปลี่ยนวิธีการรบ ด้วยกำลัง เป็นการรบด้วยปัญญา และ ยังสนับสนุน ให้โกะแพร่หลาย มากยิ่งขึ้นอีก ...โชกุนโตกุกาว่า ได้ตั้งสำนักโกะขึ้น 4 สำนัก เพื่อคัดเลือก ผู้เป็นยอดฝีมือโกะ ของญี่ปุ่น โดยจัดให้สำนักทั้ง 4 คือ ฮงนินโบ , อิโนอูเอะ , ยาสุอิ และ ฮายาชิ ส่งตัวแทน มาประลองฝีมือ เพื่อชิงตำแหน่ง "เมย์จิน" ...จากการส่งเสริมโกะ ของญี่ปุ่น ทำให้อีกประมาณ 100 ปีต่อมา มาตรฐานฝีมือ นักเล่นโกะของญี่ปุ่น ก็ก้าวนำจีน ซึ่งเป็นต้นกำเนิด ของโกะ รวมทั้ง ประเทศเกาหลี ไปไกลแล้ว

ปัจจุบัน ทั่วโลก เล่นโกะ กันอย่างแพร่หลาย โกะ เรียกเป็นสากลว่า "Go" ...ปัจจุบัน โกะ แพร่หลาย ในกว่า 50 ประเทศ ทวีปออสเตรเลีย และ อเมริกาเหนือ ทุกประเทศ อเมริกาใต้ , ยุโรป , เอเชีย เกือบ ทุกประเทศ รวมทั้ง ประเทศไทย ในทวีปแอฟริกา แพร่หลายใน ประเทศ แอฟริกาใต้

ใน พ.ศ.2522 ได้เกิด "สมาพันธ ์หมากล้อม นานาชาติ" (International Go Federation) ขึ้น มีประเทศ สมาชิก เริ่มแรก 15 ประเทศ ปี 2535 เพิ่มเป็น 50 ประเทศ ประเทศไทย ได้เข้าเป็น สมาชิก เมื่อ พ.ศ.2526 ...ประชากร ที่เล่นโกะ ในจีน ประมาณว่ามี 10 ล้านคน , ญี่ปุ่น มี 10 ล้านคน , เกาหลี มี 10 ล้านคน (เกาหลี มีประชากร ทั้งหมด 44 ล้านคน ประชากร ที่เล่นโกะ มีถึง เกือบ 1 ใน 4 ของประชากร ประเทศ) , ในไต้หวัน มี 1 ล้านคน , สหรัฐอเมริกา มี 1 ล้านคน ...โกะ ในด้านการศึกษา มหาวิทยาลัย Princeton ใน สหรัฐอเมริกา ได้ศึกษา ปรัชญา ตะวันออก จากโกะ และ มหาวิทยาลัย Rochester , MIT , YALE , Kellox ก็บรรจุวิชาโกะ ในหลักสูตร MBA และในสิงคโปร์ ก็มีวิชาโกะ ในหลักสูตร ชั้นมัธยมด้วย
สุรพล อินทรเทศ (อ.ขวด)

--------------------------------------------------------------------------------

"โกะ" ศาสตร์และศิลป์ อันล้ำค่าแห่งตะวันออก
"โกะ" เป็นหมากกระดานที่แตกต่างกับหมากรุกอย่างสิ้นเชิง ...หมากรุกนั้นชนะได้ด้วยการกินหมากของคู่ต่อสู้ เป็นการชนะโดยทำลายคู่ต่อสู้...แต่โกะชนะด้วยการ สร้างดินแดนให้มากกว่าคู่ต่อสู้ ซึ่งเป็น การทำให้ตนเองแข็งแรง โดยบริหารทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ...ซึ่งการเล่นโกะ ผู้เล่นที่จะเล่นโกะเก่งได้นั้น จะต้องมีทั้งความคิดการไกล มีเหตุมีผล และเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ หรือมีศิลปะ ...นี่คือเหตุที่ชาวตะวันตก มักเล่นโกะสู้ชาวเอเชีย (ตะวันออก) ไม่ได้ ซึ่งทั้งนี้ อาจเกิดจากวัฒนธรรมทางความคิดที่ต่างกัน การเล่นโกะนั้น ผู้เล่นต้องมีทั้งเหตุผล และการจินตนาการ พร้อมสร้างสรรค์หมากของตนออกมา
โกะจึงเป็นทั้งศาสตร์วิชาชั้นสูงที่ลึกซึ้ง และเป็นทั้งศิลปะที่สวยงาม ที่ออกมาจากความคิด จินตนาการของผู้เล่น

...คนจีนกล่าวว่า "การเล่นโกะ คือ การสื่อสารกันโดยไม่ต้องใช้ภาษา" ...การเล่นโกะให้เป็นนั้น อาจใช้เวลาศึกษากติกาต่าง ๆ เพียง 15 นาทีเท่านั้น แต่การจะเล่นโกะให้เก่งได้นั้น อาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเลยทีเดียว ...ที่ผมกล่าว ไม่ได้หมายความว่าโกะนั้นเล่นยาก แต่ผมบอกว่าโกะนั้นมีความลึกซึ้ง ที่คนที่เล่นเท่านั้นที่จะรู้ ผมจึงอยากชักชวนและสนับสนุนให้คนไทยหันมาเล่นโกะกันมาก ๆ

--------------------------------------------------------------------------------

ไอสไตน์ กล่าวว่า "โกะมีความเรียบง่ายที่สุด แต่กลับซับซ้อนที่สุด"

--------------------------------------------------------------------------------

ไม่ใช่เพียงการสู้รบ
ตามที่ผมได้กล่าวไปแล้ว ...โกะ เหมือนสงครามที่จะต้องวางแผน เพื่อสร้างให้ตนเองแข็งแกร่ง ไม่ใช่เพียงทำลายคู่ต่อสู้เท่านั้น ...กระดานโกะมีขนาด 19x19 เส้น ซึ่งใหญ่กว่ากระดานหมากรุกถึง 5 เท่าครึ่ง คือการทำสงครามที่มีการสู้รบอยู่หลายสนามรบ การเล่นโกะจึงต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าของทรัพยากรที่มี ทรัพยากรที่เสียไป สิ่งที่จะได้มา แล้วบริหารทรัพยากรให้คุ้มค่า ...การชนะในสนามรบเดียวนั้น ไม่อาจทำให้ชนะทั้งสงครามได้ มีสุภาษิตโกะที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เช่น "จงอย่าชนะสนามรบ แต่แพ้สงคราม" , "จงเล่นโกะทั้งกระดาน" , "เสียสละส่วนน้อยเพื่อก้าวไป

ประมวลสุภาษิตโกะ

ประมวลสุภาษิตโกะ

จงเล่นโกะ ทั้งกระดาน ให้เล่นโกะ โดยคำนึงภาพรวม ของทั้งกระดาน โดยไม่เน้นจุดใดจุดหนึ่งเพียงจุดเดียว โดยไม่สนใจส่วนอื่น
การโจมตี คือรูปแบบที่ดีที่สุดของการป้องกัน ผู้เล่นที่มุ่งตั้งรับอย่างเดียว ไม่คิดจะโจมตีคู่ต่อสู้นั้นขี้ขลาด คุณจะไม่ชนะหรอกถ้าคุณไม่โจมตีคู่ต่อสู้บ้าง
อยู่ให้ไกลจากกลุ่มอิทธิพล ถ้าเข้าใกล้กลุ่มอิทธิพลของคู่ต่อสู้ อาจถูกโจมตีได้ง่าย ...ถ้าเข้าใกล้กลุ่มอิทธิพลของตนเอง จะทำให้หมากหนาแน่นจนขาดประสิทธิภาพ
อย่าหวังชนะ ด้วยการจับกินเพียงอย่างเดียว การจับกินไม่ใช่จุดประสงค์หลักของโกะ การสร้างดินแดนต่างหากที่เป็นจุดประสงค์หลัก
ไม่มีวันไล่ทัน ถ้าคุณผลักหมากจากข้างหลัง การผลักหมากจากข้างหลัง คุณจะไม่มีทางไล่ทัน ...ถ้าคุณกระโดดนำไปข้างหน้าจะดีกว่าไหม
ส่งเสียงบูรพา เข้าตีประจิม หมายถึงการเบนความสนใจคู่ต่อสู้ ขณะเดียวกัน ก็เตรียมการโจมตีให้พร้อม แล้วกลับไปตะครุบเหยื่อตัวจริงที่หมายตาไว้
เมื่อต้องหนี การกระโดดไม่เคยแย่ เมื่อต้องหนี สัญชาติญาณก็คือกระโดดหนีไปให้เร็วที่สุด
เมื่อมีวิธีตัดหมากคู่ต่อสู้ให้ขาดสะบั้นได้ จงทำเถิด
ด้วยอิทธิพลที่ทัดเทียมกัน ผู้ลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ
จุดตาย คือจุดที่ต้องแย่งยึด ถ้าคุณยึดจุดตายคู่ต่อสู้ได้ คู่ต่อสู้จะลำบาก ...ถ้าคุณยึดจุดตายตัวเองได้ คุณจะไร้จุดอ่อน
บันไดกว้าง 6 ช่อง การไล่ล่าจับกินตามแนวขั้นบันไดนั้น ถ้ามีหมากของคู่ต่อสู้เข้าไปขวางทางในรัศมี 6 ช่องของบันได จะทำให้การไล่ล่าจับกินไม่สำเร็จ
จงยอมเสียสละส่วนน้อย เพื่อก้าวไปข้างหน้า คือ การยอมตัดใจเสียสละ ส่วนน้อย เพื่อหาผลประโยชน์ที่คุ้มค่ากว่า มาชดเชย
กลุ่มอิทธิพลไม่ได้มีไว้สร้างดินแดน กลุ่มอิทธิพล เปรียบเหมือนจอมพลัง ที่ไว้ใช้โจมตีคู่ต่อสู้ ไม่ได้ไว้ใช้สร้างดินแดน
การตัดหมากคู่ต่อสู้เพียงครั้งเดียวอาจเป็นกุญแจสู่ชัยชนะได้
อย่าเอาหัวไปชนกำแพง การเข้าใกล้ กำแพง เกินไป ย่อมไม่เป็นผลดี ...เข้าใกล้กำแพงของคู่ต่อสู้ อาจตกเป็นเป้าโจมตีได้ ...ถ้าเข้าใกล้กำแพง ของเราเองมากเกินไป จะทำให้หมากหนาแน่นเกินไป
ลดลมหายใจคู่ต่อสู้จากด้านนอกก่อน ในการไล่ล่าซึ่งกันและกัน การลดลมหายใจคู่ต่อสู้จากด้านใน จะทำให้กลุ่มของเรา เสียลมหายใจลงไปด้วยเช่นกัน
ความแตกคอกันเอง สิ้นเปลืองทรัพยากร หมายถึง การเล่นหมากที่กระตุ้นให้คู่ต่อสู้เล่นหมากทำร้ายหมากเราเองโดยไม่รู้ตัว
อย่าอะตาริแบบอัตโนมัติ การอะตาริ แบบอัตโนมัติ มักไม่ให้ผลดี ตรงข้ามบางทีกลับให้ผลร้าย
อย่าไปแตะเนื้อต้องตัวหมากที่อ่อนแอของคู่ต่อสู้เป็นอันขาด เพราะถ้าคุณแตะหมากที่อ่อนแอของคู่ต่อสู้ มันจะโต้ตอบ และนั่นก็จะทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ...ทางที่ดีคุณควรโจมตีมันแบบห่าง ๆ ก็พอแล้ว เพื่อไม่ช่วยมันสร้างรูปร่าง
จงโจมตีคู่ต่อสู้ด้วยการขโมยฐานของเขา โจมตีด้วยการขโมยฐานในการสร้าง 2 ห้องของคู่ต่อสู้ จะทำให้เขาต้องดิ้นรนหนี และเราก็จะได้โอกาสในการแสวงหากำไร จากการโจมตี
หาทางฆ่านก 2 ตัวด้วยกระสุนนัดเดียว จงพยายามเล่นหมากที่ทำให้เกิดประโยชน์มากกว่า 1 ด้าน
อย่าไปยึดติดกับหมากที่ทำหน้าที่ของมันลุล่วงไปแล้ว หมากที่เราใช้มันทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งลุล่วงไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องพยายามปกป้องรักษามันอีก
เมื่อเข้าโจมตี ตัดไขว้เพื่อสร้างรูปร่าง เมื่อเราเข้าบุกรุกคู่ต่อสู้ เราจำเป็นต้องรีบสร้างรูปร่างที่ดี เพื่อสามารถสร้าง 2 ห้องได้โดยเร็ว การตัดหมากไขว้กัน จะทำให้คู่ต่อสู้ ต้องเสียเวลา เล่นหมากเพื่อที่จะ จับกินหมากที่เรา ยอมสละเพื่อสร้างรูปร่างของกลุ่ม และโอกาสนั้น จะทำให้เราสามารถสร้างรูปร่าง ได้อย่างรวดเร็ว
อย่ายอมให้คู่ต่อสู้ปิดหัวแถวหมากของเราเป็นอันขาด ถ้าเรายอมให้คู่ต่อสู้ได้ปิดหัวแถวหมากของเรา ก็หมายความว่า เรายอมให้คู่ต่อสู้ตัดโอกาสที่จะพัฒนาต่อไปของหมากเราเอง
ถ้าหมากของคุณถูกกรพหนาบด้วยกลุ่มอิทธิพลถึง 2 ด้าน ก็จบกัน ! นอกจากหมากของเราจะหมดโอกาสพัฒนาทั้ง 2 ด้านแล้ว ยังตกเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มอิทธิพล ซึ่งไม่ให้ผลดีเลย
ถ้าถูกกดหัว ให้รับด้วยตาม้า ถ้าคุณถูกโจมตีด้วยหมากกดหัว ให้รับมือด้วยหมากตาม้า
ถ้าเอาชนะไม่ได้ จงยอมตายอย่างห้าวหาญ
เล่นช้าชนะช้า เล่นเร็วแพ้เร็ว ค่อย ๆ คิดให้รอบคอบ
ในสถานการณ์ที่ไม่มีเหตุผล หมากที่ขาดเหตุผลนั่นแหละมีเหตุผล หมายถึง หมากเด็ด (เทะสึจิ)
จงขยายตัวออกจากหมากล้อมมุมแบบตั้งฉาก การล้อมมุม ก็เหมือนกำแพง ซึ่งการขยายตัวในแนวตั้งฉาก ออกจากกำแพง เพราะมันเป็นทิศทางหลักในการขยายตัว
ก่อนที่คุณจะชกใคร คุณต้องกำหมัดเสียก่อน ก่อนที่คุณจะโจมตี คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อน
โจมตีให้ใช้ตาม้า หนีให้กระโดด 1 เส้น ถ้าจะโจมตีคู่ต่อสู้ให้ใช้หมากตาม้า ถ้าจะหนีจากการโจมตีให้กระโดดตรง ๆ 1 เส้น
บนเส้นที่ 2 ...หกตาย แปดรอด กลุ่มหมากที่หมากเรียงกันอยู่บนเส้นที่ 2 ...กลุ่มที่มี 6 หมากจะตาย ...กลุ่มที่มี 8 หมากจะรอด (เพราะสร้าง 2 ห้องได้)
บนเส้นที่ 3 ...สี่ตาย หกรอด กลุ่มหมากที่หมากเรียงกันอยู่บนเส้นที่ 3 ...กลุ่มที่มี 4 หมากจะตาย ...กลุ่มที่มี 6 หมากจะรอด (เพราะสร้าง 2 ห้องได้)
บนเส้นที่ 3 ที่มุม 5 เม็ดเรียงกันรอด ถ้าอยู่ที่มุม หมาก 5 เม็ดเรียงกันบนเส้นที่ 3 จะสามารถสร้าง 2 ห้องได้
อย่าให้หมากของคุณถูกล้อม ข้อนี้เข้าใจได้ง่ายมากครับ
การลดทอนกรอบดินแดนคู่ต่อสู้ ดีพอ ๆ กับการบุกรุก
มีแต่มือสมัครเล่นเท่านั้นที่ชอบเอาเยี่ยงอย่างคนอื่น
การล้อมมุม ย่อมมุ่งหวังการขยายตัวไปตามด้านข้าง คุณค่าของการล้อมมุม ก็คือ ใช้เป็นฐานในการขยายตัวออกตามข้างกระดาน
เส้นที่ 4 เป็นเส้นของการพัฒนา ...เส้นที่ 3 เป็นเส้นของความสมบูรณ์แบบ เพราะหมากบนเส้นที่ 4 อยู่สูง สามารถสร้างอิทธิพลได้ดี และพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ...ส่วนเส้นที่ 3 อยู่ต่ำ สามารถสร้างพื้นที่ได้มั่นคงกว่า แต่ในเชิงอิทธิพล จะด้อยกว่าเส้นที่ 4
จงสร้างกรอบดินแดนให้เหมือนสร้างกล่อง การสร้างกรอบดินแดนให้มีรูปร่างสมดุลย์ ย่อมดูแลได้ง่าย
สามเหลี่ยมว่างเปล่า เป็นหมากรูปร่างเลว
ปงนุกิ มีค่า 30 คะแนน ปงนุกิ เป็นกลุ่มหมากที่มีรูปร่างดีมาก ...ถ้ามันอยู่ที่มุมหรือข้างกระดาน มันสามารถ สร้าง 2 ห้องให้กลุ่ม ด้วยการเล่นเพียงไม่กี่ครั้ง ถ้ามันอยู่กลางกระดาน มันจะแผ่อำนาจอิทธิพลออกไปรอบทิศทาง ...จึงมีสุภาษิตเปรียบเทียบว่า ปงนุกิมีค่าถึง 30 คะแนน
บันไดแต่ละขั้นมีค่า 7 คะแนน
อย่าเล่นโกะ ถ้าคุณไม่เข้าใจการจับกินตามแนวขั้นบันได
จงโจมตีโดยให้คู่ต่อสู้หนีเข้าไปหากลุ่มอิทธิพล
จงลดทอนกรอบดินแดนขนาดใหญ่อย่างนุ่มนวล
ต้องปกป้องดูแลกลุ่มที่อ่อนแอ ไม่ใช่กลุ่มที่แข็งแรง กลุ่มที่แข็งแรงไม่ต้องการการดูแลอีก ...กลุ่มอ่อนแอต่างหาก
หมากที่เรียบง่ายที่สุด นั่นแหละเยี่ยมที่สุด
สิ่งแปลกประหลาดมักเกิดที่จุด 1-2 เพราะมันอยู่ใกล้มุม สิ่งแปลกประหลาดในสุภาษิต เกิดจากคุณสมบัติของมุม
จงเล่นที่ศูนย์กลาง ในสถานการณ์ที่เป็นสมมาตร
คัมภีร์บอกว่าอย่าสู้รบ แต่เราจะหวังอะไรจากคัมภีร์ได้?
ปล้องไม่ไผ่ ตัดไม่ขาด (การเชื่อมหมากแบบปล้องไม้ไผ่)
กินบันไดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะถ้าปล่อยไว้ คู่ต่อสู้อาจเล่นหมากหยุดบันได (Shicho-breaker) ได้
หมากสองหมาก ที่ห่างกัน 2 จุด บนเส้นที่ 3 ตัดไม่ขาด
หมากลิงกระโดดตัดไม่ขาด
หมากลิงกระโดดมีค่า 8 คะแนน
หมากเดียวที่กลางกระดาน ถ้าย้ายมันไปอยู่ที่มุมจะมีค่า 10 คะแนน เพราะการเล่นหมากที่มุมสามารถครองพื้นที่ได้มากและแน่นอนกว่ากลางกระดาน
จงเล่นหมากที่ มุม -- ข้าง --- กลางกระดาน ตามลำดับ (สัมพันธ์กับสุภาษิตข้อที่แล้ว) เพราะที่มุมสามารถครองพื้นที่ได้มากที่สุด รองมาคือข้างกระดาน และกลางกระดาน สร้างพื้นที่ได้ยากที่สุด
ถ้าคู่ต่อสู้มีหมากที่อ่อนแอถึง 2 กลุ่ม จงโจมตีมันพร้อม ๆ กันไปเลย เพราะคู่ต่อสู้ จะต้องตัดสินใจ ว่าจะช่วยหมากกลุ่มใด และนั่นคือโอกาส ที่จะได้แสวงหากำไร จากการโจมตี
ขนะโคะเสียแต่เนิ่น ๆ เพื่อชนะเกมเสียไว ๆ
จงโจมตีด้วยตาม้า หนีด้วยการกระโดดตรง ๆ
ถ้าคุณมีหมากเพียงกลุ่มเดียวบนกระดาน คุณจะชนะ เพราะยิ่งหมากรวมเป็นกลุ่มใหญ่กลุ่มเดียวมันก็จะยิ่งแข็งแกร่ง และไม่มีวันตาย
กลุ่มที่น้อยกว่า 15 หมาก ถ้าได้รับอันตราย ทิ้งมันไปเสียยังได้ ถ้าคุณมีทางเลือกที่ดีกว่า ถึงกลุ่มมีหมากมากคุณก็สมควรทิ้งมันไปเพื่อสิ่งที่ดีกว่า
อย่าลดทอนอิสระภาพหมากของตัวเอง อย่าเล่นหมากที่ลดลมหายใจของกลุ่มหมากของคุณเอง
ผู้อ่อนแอกลัวโคะ ผู้แข็งแกร่งค้นหามัน
อย่านำสุภาษิตโกะไปใช้กับฝ่ายขาว
กลุ่มใหญ่ไม่มีวันตาย
การสู้รบไม่ใช่หัวใจของโกะ ควรเก็บมันไว้เป็นไพ่ใบสุดท้าย การสู้รบนั้น ไม่ใช่สิ่งจำเป็นต้องทำ ...การสู้รบมักจะทำให้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้น ถ้าเล่นหมากง่าย ๆ ได้ ก็ควรเล่นมากกว่า
อย่าโลภมาก ข้อนี้เข้าใจได้ง่ายมากครับ
สถานการณ์ที่คุณชนะ จงเล่นหมากที่เรียบง่าย แต่ทำให้มันซับซ้อนที่สุด
เซียนโกะไม่ต้องการสูตรมุม
ถ้าขาวได้มุมทั้งหมดดำควรยอมแพ ...ถ้าดำได้มุมทั้งหมด ดำก็ควรยอมแพ้เช่นเดิม ในสมัยก่อนนั้น ผู้เล่นฝ่ายขาว เป็นฝ่ายที่มีฝีมือเหนือกว่า เพราะฉะนั้น ถ้าดำได้มุมทั้ง 4 มุม ก็แสดงว่า ขาวซึ่งมีฝีมือเหนือกว่านั้น สามารถสร้างอิทธิพลแข็งแกร่งมาก ดำจึงควรยอมแพ้ ในทางตรงข้าม ถ้าดำเสีย 4 มุม ดำก็ควรยอมแพ้เช่นเดิม
การอะตาริที่ไม่จำเป็น มักไม่ให้ผลดี สัมพันธ์กับข้อที่ว่า "อย่าอะตาริแบบอัตโนมัติ"
ถ้าช่วงเปิดเกมคุณไม่รู้จะเล่นอย่างไรดี ...งั้นก็ล้อมมุม
อย่ามั่นใจจนเกินไปว่าคุณสามารถฆ่าหมากคู่ต่อสู้ได้
บุคคลที่ชนะบ่อยไม่ค่อยสู้รบ สัมพันธ์กับสุภาษิตที่กล่าวไว้แล้วข้างต้นครับ "การสู้รบไม่ใช่หัวใจของโกะ"
เมื่อคู่ต่อสู้แข็งแกร่ง คุณต้แงแข็งแกร่งด้วย
ตัดเขา อย่าให้เขาตัด หมากกลุ่มใหญ่มีความแกร่ง หากโดนตัดเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย พวกมันก็จะอ่อนแอลง
ยืนให้มั่นคงด้วย 2 เท้าที่แยกจากกัน หมายถึง เราต้องสร้างฐานให้หมากของเราเองโดยการ เพิ่มหมากเข้าไป ไม่ให้หมากของเราอยู่ลำพังเม็ดเดียว ให้เพิ่มหมากให้ห่างกันเพื่อเตรียมฐานในการสร้าง 2 ห้อง
จงทำให้หมากมีทางพัฒนาได้หลายทาง ถ้ามีโอกาสพัฒนาได้ทางเดียว เมื่อคู่ต่อสู้ปิดทางพัฒนาของคุณ แล้วจะเหลือทางให้พัฒนาที่ไหนได้อีกล่ะ
จงปิดหัวแถวหมาก 2 เม็ดโดยไม่ต้องลังเล การปิดหัวก็คือการปิดการพัฒนาของกลุ่มหมาก
จงนับข้อต่อรองก่อนสร้างโคะ หมายถึง ให้นับที่ข่มขู่คู่ต่อสู้ในการสู้โคะว่าชนะหรือไม่ก่อนแล้วจึงสร้างโคะ
งานด่วนมาก่อนงานใหญ่ สัมพันธ์กับสุภาษิตข้อที่กล่าวไว้แล้วข้างต้นคือ "อย่าโลภมาก"
ล้อมเขา อย่าให้เขาล้อม ฝ่ายที่ล้อมย่อมจะโจมตีแล้วตักตวงผลประโยชน์ไปเรื่อย ๆ ...ขณะที่ฝ่ายที่ถูกล้อมก็ต้องคอยดูแลตนเอง เพราะตกอยู่ในวงล้อมศัตรู และการถูกล้อมหมายถึงการถูกปิดกั้น โอกาสในการพัฒนาอน่างสิ้นเชิง
จะล้อมเขาให้อยู่ห่าง จะดิ้นออกจากวงล้อมให้เข้าประชิด เพราะการประชิดจะทำให้สถานการณ์ ชุลมุนและซับซ้อนขึ้น (เป็นจุดประสงค์ของฝ่ายที่ถูกล้อมอยู่แล้ว) ทำให้อาจจะมีโอกาสตีฝ่าออกจากวงล้อมไปได้
ถ้าเล่นสูงด้านหนึ่งแล้ว จงเล่นต่ำในด้านที่เหลือ
ให้เดินออกจากกลุ่มหมากที่อ่อนแอเมื่อจะล้อมซึ่งกันและกัน การเดินออกจากกลุ่มหมากที่อ่อนแอ จะเป็นการสร้างความแข็งแรงให้แก่กลุ่มอ่อนแอด้วย
ชิดชิดด้วย ห่างห่างด้วย ถ้าคู่ต่อสู้ วางหมากประชิดตัวหมากเรา ให้เราเดินหมากต่อออกจากหมากที่ถูกประชิด
จงยอมสละส่วนน้อย เพื่อส่วนใหญ่
หมากตาม้าใกล้ขอบกระดานตัดไม่ขาด
ในสงครามไล่ล่าซึ่งกันและกัน ฝ่ายที่มีห้องชนะ
จงเรียนรู้วิธีขโมยห้องของคู่ต่อสู้
อย่าปล่อยให้กลุ่มล่องลอย กลุ่มล่องลอย คือกลุ่มที่ไม่มีฐานในการสร้าง 2 ห้อง
เส้นที่ 2 คือเส้นแห่งความปราชัย เพราะเส้นที่ 2 อยู่ต่ำเกินไป จึงไม่ควรเล่นในช่วงเปิดเกม
เส้นที่ 3 คือเส้นของดินแดน ...เส้นที่ 4 คือเส้นของอิทธิพล
การบุกก่อนเวลาอันควร ทำให้เสียเซนเตะ
กลุ่มที่ตาย ชนะโคะเสมอ
ผู้เล่นที่เก่งเล่นตรง ผู้เล่นที่อ่อนเล่นเฉียง
การเล่นในช่วงเปิดเกมนั้นสำคัญที่สุด แต่การเล่นช่วงปิดเกมนั้นยากที่สุด
ไม่มีมืออาชีพคนไหนไม่เชี่ยวชาญโยเสะ (โยเสะ หมายถึง การเล่นหมากในช่วงปิดเกม)
3 จุดเป็น 1 ห้อง พื้นที่ว่าง 3 จุดทำให้เกิดเป็นห้องจริงแน่นอน 1 ห้อง
ห้องใหญ่ 4 จุดเรียงกัน รอด ห้องใหญ่ 4 จุดที่เรียงกันเป็นเส้นตรง สามารถสร้าง 2 ห้องได้ 100%

วิธีเล่น และจุดประสงค์ของ หมากล้อม (โกะ)

วิธีเล่น และจุดประสงค์ของ หมากล้อม (โกะ)
** จุดประสงค์ของโกะ : ใช้หมากของตน ล้อมพื้นที่ว่างบนกระดาน ให้ได้ดินแดนของตนมากกว่าคู่ต่อสู้
กระดานโกะ มาตรฐานคือขนาด 19x19 จะมีเส้นแนวตั้ง 19 เส้น และแนวนอน 19 เส้น เกิดเป็นจุดตัด 361 จุดบนกระดาน (* กระดานขนาด 19x19 หมายถึง มีด้านละ 19 เส้น ไม่ใช้ 19 ช่อง)
ผู้เล่น จะแบ่งเป็น 2 ฝ่ายคือฝ่ายขาวและฝ่ายดำ ฝ่ายขาวจะได้เม็ดหมากสีขาว และฝ่ายดำจะได้สีดำ
เม็ดหมาก ของทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องเดินบนกึ่งกลางจุดตัด ที่เกิดจากเส้นบนกระดานตัดกัน ผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่ายสามารถวางหมาก บนจุดตัดใด ๆ ก็ได้ บนกระดาน
วิธีเล่น : ใช้หมากของตน ล้อมพื้นที่ว่างให้ได้มากกว่คู่ต่อสู้
การติดสินเกม : นับดินแดน ที่แต่ละฝ่ายล้อมได้ ใครได้ดินแดนมากกว่าเป็นผู้ชนะ (จะอธิบายวิธีการนับคะแนนอย่างละเอียดต่อไป)

ขึ้นไปบนสุดของหน้านี้

--------------------------------------------------------------------------------
กระดานโกะ


นี่คือ ลักษณะ กระดานหมากล้อม (Goban) จะมี เส้นแนวตั้ง 19 เส้น และแนวนอน 19 เส้น (เมื่อนับช่องจะพบว่า มีด้านละ 18 ช่อง) จุดดำที่ เห็นเด่นอยู่ 9 จุดเรียกว่า จุดดาว (Hoshi) จะใช้วางหมากต่อ ในเกมหมากต่อ (กติกาในเกมหมากต่อ จะอธิบายท้ายบท) ...ความจริงแล้ว กระดานหมากล้อมที่นิยมเล่นกันมีตั้งแต่ขนาด 9x9 , 11x11 , 13x13 และ 19x19 แต่ขนาดมาตรฐานคือ 19x19 กระดานเล็กส่วนมากใช้ฝึกสำหรับมือใหม่


ขึ้นไปบนสุดของหน้านี้

--------------------------------------------------------------------------------

กติกา ข้อหลัก
ทั้ง 2 ฝ่ายจะวางหมากที่จุดตัดใดก็ได้บนกระดาน แต่ต้องไม่ทับจุดที่มีหมากของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งวางอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อวางหมากแล้ว หมากจะไม่มีการเดินเลื่อนเหมือนหมากรุก เมื่อวางหมากจุดใดแล้ว จะไม่สามารถเคลื่อนไปจุดอื่นได้เป็นอันขาด ยกเว้นหมากถูกจับกินจะต้องเป็นเชลยของฝ่ายตรงข้ามทันที (จะอธิบายละเอียด ในหัวข้อกติกาการจับกิน)
ผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่าย ต้องพยายามใช้หมากของตนเอง ล้อมพื้นที่ว่างให้ได้มากกว่าคู่ต่อสู้
นับคะแนนตัดสิน โดยนับว่าฝ่ายใด ล้อมพื้นที่ว่างได้มากกว่า จะเป็นฝ่ายชนะ (จะอธิบายการนับคะแนนโดยละเอียด ท้ายบท)
ขึ้นไปบนสุดของหน้านี้

--------------------------------------------------------------------------------
กติกา ในการเริ่มเกม
กระดานจะต้องว่างเปล่าเมื่อเริ่มเกม (ยกเว้นในเกมต่อหมาก{Handicap game})
ฝ่ายดำจะได้เป็นฝ่ายวางหมากก่อน วางที่จุดตัดใดก็ได้บนกระดาน เมื่อฝ่ายดำวางแล้ว จะเป็นตาเดินของฝ่ายขาว ผลัดกันไปอย่างนี้ ทุกตา ตาละ 1 เม็ด
เมื่อวางหมากลงไปแล้ว หมากที่วาง จะไม่มีการเดินเลื่อนเหมือนหมากฮอสหรือหมากรุก วางแล้วจะขยับไปไหนไม่ได้ ยกเว้นหมากจะถูกคู่ต่อสู้จับกิน จะต้องเป็นหมากเชลยของฝ่ายตรงข้าม (จะอธิบายเรื่องการจับกินอย่างละเอียดในหัวข้อต่อไป)
ฝ่ายดำ ได้เดินหมากก่อน ถือว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะฉะนั้น จึงต้องมีแต้มต่อ เพื่อชดเชยความเสียเปรียบของฝ่ายขาวที่ให้ดำเดินก่อน โดยฝ่ายขาวจะได้คะแนนฟรี ๆ ไปจำนวนหนึ่ง เราเรียกคะแนนจำนวนนี้ว่า "แต้มต่อ (Komi)" ซึ่งปัจจุบันกำหนดมาตรฐานสำหรับกระดาน 19x19 ไว้ที่ 5.5 คะแนน แต้มต่อนี้จะนำไปบวกให้กับคะแนนสุทธิของฝ่ายขาวเมื่อจบเกม (แต้มต่อนี้ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถตกลงกันก่อนเริ่มเกมได้ว่าจะให้แต้มต่อเท่าไร โดยมากนิยมกำหนดแต้มต่อให้มีเศษ 0.5 คะแนน เพื่อป้องกันการเสมอ)

ขึ้นไปบนสุดของหน้านี้

--------------------------------------------------------------------------------
กติกา การจับกิน
เมื่อหมากหรือกลุ่มหมากของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถูกล้อมโดยหมากของฝ่ายตรงข้าม อย่างประชิดตัวทุกด้าน และไม่มีช่องว่างภายในเหลือ ไม่ว่าจะที่กลางกระดาน ขอบข้างกระดาน หรือมุมกระดาน หมากหรือกลุ่มหมากนั้นก็ถือว่าถูกจับกิน ตาย ต้องเก็บออกจากกระดาน แล้วนำไปเป็นหมากเชลยของฝ่ายที่จับกินได้ ...ดูตัวอย่างแล้วจะเข้าใจยิ่งขึ้นครับ

รูปที่ 1.1
ในตัวอย่างรูปนี้ ขาว 1 เม็ด ถูกดำปิดล้อมเอาไว้ทั้งหมด 3 ด้านแล้ว
1. ดำได้ ปิดล้อมขาวไว้ 3 ด้านแล้ว
2. เมื่อดำวางหมากที่ 1 ซึ่งปิดล้อมขาวอย่างประชิดตัวทุกด้าน ไม่เหลือช่องว่างภายใน ขาว 1 เม็ดที่ถูกล้อม จะตาย
3. เมื่อขาว 1 เม็ดถูกจับกิน จะต้องถูกเก็บออกจากกระดาน เป็นหมากเชลยของฝ่ายดำ แสดงไว้ดังรูป (หมากเชลย จะมีผลต่อการนับคะแนน จะอธิบายท้ายบท)
รูปที่ 1.2
ในตัวอย่างนี้ คล้ายกับตัวอย่างที่แล้ว แต่ตัวอย่างนี้ แสดงการจับกิน ที่ขอบริมกระดาน
1. ดำได้ ปิดล้อมขาวไว้ 2 ด้าน
2. เมื่อดำวางหมากที่ 1 ซึ่งปิดล้อมขาวอย่างประชิดตัวทุกด้าน ไม่เหลือช่องว่างภายใน ขาว 1 เม็ดที่ถูกล้อม จะตาย (ที่ริมขอบกระดาน ถือเป็นกำแพงธรรมชาติ ดำจึงปิดล้อมเพียง 3 ด้าน ก็สามารถจับกินขาวได้)
3. เมื่อดำวางหมากที่ดำ 1 แล้ว ทำให้ขาว 1 เม็ดถูกจับกิน จึงต้องเก็บออกจากกระดานเป็นเชลยของดำ
1 2 3

รูปที่ 1.3
ตัวอย่างนี้ เป็นการจับกินที่มุมกระดาน
1. ดำได้ ปิดล้อมขาวไว้เพียงด้านเดียวเท่านั้น
2. เมื่อดำวางหมากที่ 1 ซึ่งปิดล้อมขาวอย่างประชิดตัวทุกด้าน ไม่เหลือช่องว่างภายใน ขาว 1 เม็ดที่ถูกล้อม จะตาย (ที่มุมกระดาน มีขอบกระดานเป็นกำแพงธรรมชาติให้ถึง 2 ด้าน ดำจึงปิดล้อมเพียง 2 ด้าน ก็สามารถจับกินขาวได้)
3. เมื่อดำวางหมากที่ดำ 1 แล้ว ทำให้ขาว 1 เม็ดถูกจับกิน จึงต้องเก็บออกจากกระดานเป็นเชลยของดำ แสดงไว้ดังภาพ
รูปที่ 1.4
รูปนี้ แสดงการจับกินกลุ่มหมากที่เป็นกลุ่ม ติดกันหลายเม็ด
1. ดำปิดล้อมขาวไว้ทุกด้าน เหลือเพียงด้านเดียว ดำก็สามารถจับขาวกินได้
2. เมื่อดำวางหมากที่ 1 ซึ่งปิดล้อมขาวอย่างประชิดตัวทุกด้าน ไม่เหลือช่องว่างภายใน ขาวทั้งกลุ่มที่ถูกล้อม จะตายทั้งหมด
3. เมื่อดำวางหมากที่ดำ 1 แล้ว ทำให้กลุ่มขาวถูกจับกิน จึงต้องเก็บออกจากกระดานเป็นเชลยของดำ แสดงไว้ดังภาพ

รูปที่ 1.5
ในรูปนี้ เป็นการแสดงการจับกิน โดยขาววางหมากขาว 1 จับกินดำทั้งกลุ่ม 6 เม็ด ดำทั้งหมดต้องถูกนำออกจากกระดาน เป็นเชลยของขาว
รูปที่ 1.6
ในรูปนี้ เมื่อขาวเล่นที่ขาว 1 ซึ่งปิดล้อมดำหมดทุกด้าน แต่ ดำยังไม่ตาย เพราะเหลือช่องว่างภายในอีก 1 จุด ขาวต้องเล่นปิดช่องว่างภายใน ให้หมดทุกจุด จึงสามารถจับกินดำได้ กลุ่มดำในรูปนี้จึงยังไม่ตาย แต่มันก็ไม่มีทางรอดแล้ว ในท้ายที่สุดตอนจบเกม ดำกลุ่มนี้ก็ต้องเป็นเชลยของฝ่ายขาว (จะอธิบายละเอียด ในหัวข้อ กติกาหมากเป็นหมากตาย)
รูปที่ 1.7
แม้ว่ากลุ่มของดำ จะเลี้ยวมาชนขอบกระดานถึง 2 ด้าน แต่ขาวก็สามารถจับกินดำได้ ด้วยการล้อมไม่ให้เหลือช่องว่างภายใน ดำก็จะตาย จะเห็นว่ากลุ่มดำชนขอบกระดาน 2 ด้าน ซึ่งทั้ง 2 ด้านนั้นขาวไม่ต้องใช้หมากไปล้อมดำ ก็ถือว่าปิดล้อมได้แล้ว ขอบกระดานจึงถือเป็นกำแพงธรรมชาติ
รูปที่ 1.8
สถานการณ์นี้ ขาวก็สามารถจับกินดำได้เช่นกัน โดยการเดินที่ขาว 1 ...เพราะดำทั้งกลุ่ม ถูกปิดล้อม โดยไม่มีช่องว่างภายในเหลือแม้แต่จุดเดียว จึงทำให้ขาวจับดำทั้งกลุ่มกินได้ด้วยการเดินที่ขาว 1 ตามรูปนี้
* เมื่อหมากหรือกลุ่มหมากใด ๆ ถูกปิดกั้นจุดโดยรอบตัวมันอย่างรัดตัว (ไม่มีจุดว่างภายใน) โดยหมากของฝ่ายตรงข้าม กลุ่มหมากนั้นจะถูกจับกิน จะต้องเป็นหมากเชลยของฝ่ายตรงข้าม


เมื่อฝ่ายใด วางหมากที่สามารถจับกินฝ่ายตรงข้ามในตาเล่นครั้งต่อไปได้ ผู้เล่นฝ่ายนั้น ต้องกล่าวคำว่า "อะตาริ (Atari)" ซึ่งคล้ายกับเตือนฝ่ายตรงข้ามว่า "ในตาต่อไป ผมสามารถจับหมากคุณกินได้นะ" การกล่าวอะตารินี้ ไม่เชิงบังคับเป็นกฎว่าต้องกล่าว แต่เป็นการแสดงมารยาทของนักเล่นโกะ ที่จะไม่พยายามเอาชนะคู่ต่อสู้ ด้วยการฉวยโอกาสจากความเผอเรอของเขา เพราะโกะเป็นเกมกีฬาของสุภาพชนและปัญญาชน ที่แข่งขันกันด้วยปัญญา ไม่ใช้ฉกฉวยโอกาสหาช่องเอาชนะ ...ดูตัวอย่างต่อไปนี้ รูปที่ 2.1
รูปนี้ เป็นตัวอย่างแสดงการกล่าวอะตาริ ..........ดำวางหมากดำ 1 ซึ่งในตาเล่นของดำครั้งต่อไป ดำสามารถจับขาว 1 เม็ดกินได้ ด้วยการวางหมากที่จุด A ...เมื่อดำวางดำ 1 ดำจึงต้องกล่าวคำว่า อะตาริ ต่อฝ่ายขาว เพื่อเป็นการแสดงมารยาท ...จำไว้ว่า เมื่อคุณวางหมากที่สามารถจับหมากหรือกลุ่มหมากคู่ต่อสู้กินได้ในตาเดินครั้งต่อไป คุณจะต้องกล่าว อะตาริ
รูปที่ 2.2
รูปนี้ก็เช่นกัน ดำเล่นหมากที่ดำ 1 ขู่ว่า ในตาดำเล่นครั้งต่อไป ดำสามารถเล่นที่ A เพื่อจับขาว 1 เม็ดกินได้ ดำต้องกล่าว อะตาริ
รูปที่ 2.3
ตัวอย่างนี้ก็เช่นเดียวกัน ดำ 1 ขู่จะจับขาวกินในตาเล่นครั้งต่อไปที่จุด A ดำต้องกล่าวอะตาริ

รูปที่ 2.4
เมื่อดำเล่นหมากที่ดำ 1 ในรูปนี้ ดำก็ต้องกล่าวอะตาริเช่นกัน เพราะดำ 1 ขู่ว่า ดำสามารถจับขาว 1 เม็ดกินได้ด้วยการเล่นที่ A
รูปที่ 2.5
ในสถานการณ์แบบนี้ก็เช่นกัน เมื่อขาวเล่นที่ขาว 1 ขาวก็ต้องกล่าวอะตาริ เพราะในตาต่อไปขาวสามารถเล่นที่ A เพื่อจับดำทั้งกลุ่มกินได้
* เมื่อเดินหมากที่สามารถจับคู่ต่อสู้กิน ในการเดินครั้งต่อไปได้ จะต้องกล่าวคำว่า "อะตาริ"

ขึ้นไปบนสุดของหน้านี้

--------------------------------------------------------------------------------

หมากเชลย :
หมากเชลย คือ หมากหรือกลุ่มหมากที่ถูกจับกิน ต้องนำออกจากกระดานเป็นเชลยของฝ่ายตรงข้าม (จะรวบรวมไว้ แล้วมีผลในการนับคะแนนตอนจบเกม ...รายละเอียดการนับคะแนน จะอธิบายในหัวข้อ การนับคะแนน) หมากเชลยของดำ ก็คือหมากขาวที่ถูกดำจับกินได้ ส่วนหมากเชลยของขาว ก็คือหมากดำที่ถูกขาวจับกินได้ ...ตามมารยาทแล้ว ควรจะเก็บหมากเชลย ไว้ในฝาของกระปุกเม็ดหมากของตน ใส่ไว้ให้คู่ต่อสู้มองเห็นได้ชัดเจน (ถ้าไม่มีฝากระปุกใส่เม็ดหมาก ก็ใส่ในที่อื่น ที่คู่ต่อสู้มองเห็นได้ชัดเจน)



ขึ้นไปบนสุดของหน้านี้


--------------------------------------------------------------------------------
กติกา หมากเป็น-หมากตาย และห้อง
ผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่าย ไม่สามารถเล่นหมาก ในจุดที่จะทำให้ หมากหรือกลุ่มหมากของฝ่ายตนเอง ถูกล้อมโดยประชิดตัวทุกด้าน และไม่เหลือช่องว่างภายใน (ถูกล้อมโดยสมบูรณ์) กล่าวสั้น ๆ คือ "ห้ามเล่นหมากที่ฆ่าตัวตาย" ยกเว้นแต่การเดินนั้นจะทำให้คู่ต่อสู้ตายทันที (จับกินคู่ต่อสู้ทันที) ...ดูตัวอย่าง
รูปที่ 3.1
ขาวไม่สามารถวางหมากที่ A, B และC ได้ เพราะทำให้หมากของตนเอง ถูกล้อมโดยประชิดตัวทุกด้าน และไม่เหลือช่องว่างภายใน (ถูกล้อมโดยสมบูรณ์) ถือเป็นการ ฆ่าตัวตาย ผิดกติกา ...จุด A, B และ C เราเรียกว่าเป็น "ห้อง" ของดำ
รูปที่ 3.2
รูปนี้ก็เช่นกัน ขาวไม่สามารถวางหมากที่ A, B และC ได้ เพราะ ทำให้ตนเองถูกล้อมโดยสมบูรณ์ เป็นการ ฆ่าตัวตาย
รูปที่ 3.3
รูปนี้ขาวมี 1 ห้องที่จุด A ...แต่ขาวโดยปิดล้อมทุกด้านอย่างประชิดตัว ไม่เหลือช่องว่างภายในแล้ว ดำสามารถวางหมากที่จุด A ได้โดยไม่ผิดกติกา เพราะมันจะทำให้ขาวทั้งกลุ่มถูกจับกินทันที ถ้าดำวางหมากที่ A ขาวทั้งกลุ่มจะตาย ต้องเป็นเชลยของดำ ดำจึงสามารถวางหมากที่จุด A จับกินหมากขาวทั้งกลุ่มได้ ไม่ผิดกติกา ...ในทางกลับกัน ขาวต่างหากที่เล่นที่จุด A ไม่ได้ เพราะเป็นการฆ่าตัวตาย

รูปที่ 3.4
รูปนี้ก็เช่นกัน ...ขาวมีห้องที่จุด A แต่ขาวถูกปิดล้อมทุกด้านอย่างรัดตัวแล้ว ดำสามารถวางหมากที่ A แล้วจับขาวทั้งหมดกิน เป็นเชลยได้ทันที
รูปที่ 3.5
นี่ก็เหมือนกันครับ ดำสามารถวางที่ A เพื่อจับขาวทั้งกลุ่มกินได้ทันที ไม่ถือว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
รูปที่ 3.6
รูปนี้ จะเห็นว่าขาวมีห้อง 2 ห้องคือ ที่ A และ B ...แม้ว่าดำจะล้อมขาวไว้โดยรอบแล้ว แต่ดำวางหมากที่จุด A หรือ B ไม่ได้ เพราะถือเป็นการฆ่าตัวตาย ขาวกลุ่มนี้ จึงไม่มีวันตาย และมีชีวิตอยู่ตลอดไปจนจบเกม ...จะเห็นว่าขาวมี 2 ห้อง ดำจึงไม่สามารถเล่นหมากที่ห้องใดห้องหนึ่ง เพื่อจับขาวกินได้ เพราะผิดกติกาห้ามฆ่าตัวตาย จึงสรุปได้ว่า "กลุ่มหมากที่มี 2 ห้องแยกจากกัน จะมีชีวิต"
รูปที่ 3.7
รูปนี้ ขาวมี 2 ห้องที่ A และ B ...เป็นห้องที่อยู่ด้านข้างกระดาน ขาวมี 2 ห้อง ขาวจึงมีชีวิตรอดเช่นกัน
รูปที่ 3.8
นี่เป็นห้องที่มุมกระดานของขาว รูปนี้ขาวก็มี 2 ห้อง คือ A , B ขาวจึงมีชีวิตรอด
* กลุ่มหมากที่มี 2 ห้องจะมีชีวิต ไม่มีวันตาย ...แต่กลุ่มหมากที่มีห้องเดียว หรือไม่มีห้องเลย เมื่อจบเกมจะต้องตายในที่สุด

ขึ้นไปบนสุดของหน้านี้

--------------------------------------------------------------------------------
การจบเกม
เกมจะจบลง เมื่อผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่าย ขอผ่านตาเล่นติดต่อกัน 2 ครั้ง ...โดยปกติแล้วการเดินหมากแต่ละตาถือว่ามีความสำคัญมาก ผู้เล่นมักขอผ่านเมื่อเห็นว่าวางหมากที่ใดก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว ไม่มีเหตุผล ที่ผู้เล่นจะขอผ่านระหว่างช่วงที่เกมยังไม่จบ เพราะนั่นหมากความว่าจะทำให้คู่ต่อสู้ได้เดินหมากฟรีอีก 1 เม็ด ไม่มีนักเล่นโกะคนไหนที่ผ่านตาเล่นของตัวเองขณะที่เกมยังไม่จบหรอกครับ
รูปที่ 4.1
ในตัวอย่างนี้ เป็นการเล่นแข่งขันจริงจนจบกระดานแล้ว เพราะทั้งฝ่ายขาวและดำ เห็นว่า แม้จะวางหมากไปอีก ก็ไม่มีประโยชน์ ทั้ง 2 ฝ่ายจึงขอผ่านตาเล่นติดกัน 2 ครั้ง ...เป็นการสิ้สุดเกม (...ดูข้อต่อไป)
* เกมจะสิ้นสุดลง เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายขอผ่านติดกัน 2 ครั้ง ...เพราะทั้ง 2 ฝ่ายเห็นว่าวางหมากอีกก็ไม่มีประโยชน์


เมื่อเล่นหมากจนจบเกมแล้ว ...หมากหรือกลุ่มหมากใดก็ตาม ที่ไม่สามารถสร้าง 2 ห้องที่แยกจากกัน (ตามที่กล่าวข้อที่แล้ว) และไม่ว่าจะเล่นหมากอย่างไรก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการจับกินของคู่ต่อสู้เพื่อทำให้ตนเองมีชีวิตรอดได้ จะต้องถือว่ากลุ่มหมากนั้นตาย ต้องเก็บออกจากกระดาน เป็นเชลยฝ่ายตรงข้าม โดยฝ่ายตรงข้าม ไม่จำเป็นต้องเล่นหมากล้อมจับกิน ...ดูตัวอย่าง
รูปที่ 5.1
นี่เป็นตัวอย่างการเล่นโกะ ในเกมเดียวกับรูปที่ 4.1 ซึ่ง เล่นจบกระดานแล้ว ...ซึ่งกระดานนี้ ฝ่ายขาวและฝ่ายดำต่างก็ มีกลุ่มหมากที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการจับกินได้ (แสดงไว้ด้วยเครื่องหมายสามเหลี่ยม) กลุ่มหมากเหล่านี้ ต้องถูกเก็บออกจากกระดาน เป็นหมากเชลยของฝ่ายตรงข้าม แล้วจึงนำมานับคะแนนพื้นที่ (อธิบายการนับคะแนนอย่างละเอียดหัวข้อ การนับคะแนน) .......
* หมากหรือกลุ่มหมากที่ไม่มีห้องจริง 2 ห้อง และไม่สามารถหนีการจับกินของคู่ต่อสู้ได้ จะถือว่ากลุ่มหมากนั้นตาย เมื่อจบเกมต้องเก็บออกเป็นหมากเชลยของฝ่ายตรงข้าม โดยฝ่ายตรงข้ามไม่จำเป็นต้องเล่นหมากจับกิน

ขึ้นไปบนสุดของหน้านี้

--------------------------------------------------------------------------------
การนับคะแนนตัดสิน
การนับคะแนนนั้นมีอยู่หลายวิธี เช่น การนับแบบญี่ปุ่น , การนับแบบจีน , การนับแบบอิ้งชางฉี ฯลฯ ซึ่งมีวิธีการนับแตกต่างกัน แต่ผลต่างแพ้ชนะขิงเกมจะออกมาเท่ากันเสมอ ไม่ว่าจะนับแบบใด ก็ตาม จึงไม่สำคัญ ว่าจะยึดหลักการนับคะแนนแบบใด ...แต่การนับคะแนนที่นิยมกันมากที่สุดคือ การนับคะแนนแบบญี่ปุ่น

การนับคะแนนแบบญี่ปุ่น ::: เมื่อเกมจบลง (ตามที่อธิบายในหัวข้อ "การจบเกม") ให้นำกลุ่มหมากที่ถือว่าตายออกมารวมกับเชลยของแต่ละฝ่ายที่มีอยู่ แล้วนับคะแนนโดย นับจุดพื้นที่ (จุดตัดว่าง) ที่แต่ละฝ่ายล้อมได้ทุกจุด แล้วนำจำนวนหมากเชลยที่ฝ่ายตรงข้ามจับกินได้ มาหักลบออกจากพื้นที่ของฝ่ายที่ถูกจับกิน แล้วเปรียบเทียบคะแนน ฝ่ายใดได้คะแนนมากกว่าจะถือว่าชนะ ...อย่าลืมเอาแต้มต่อ (Komi) มาบวกให้กับคะแนนของฝ่ายขาวด้วยละครับ (แต้มต่อนี้ปัจจุบันกำหนดมาตรฐานสำหรับกระดาน 19x19 ไว้ที่ 5.5 คะแนน)

หมากเชลยของฝ่ายดำ =
หมากเชลยของฝ่ายขาว =
แต้มต่อ (Komi) = 5.5 คะแนน รูปที่ 6.1 ::: นับคะแนนแบบญี่ปุ่น
นี่เป็นตัวอย่างการเล่นโกะในการแข่งขันจริง ซึ่งเล่นจบกระดานแล้ว ในรูปนี้ได้เอาหมากที่ตายออกมารวมกับเชลยของทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว

การนับคะแนน นับโดย นำคะแนนพื้นที่ ลบด้วย หมากเชลยที่ฝ่ายตรงข้ามกินได้ เป็นคะแนนสุทธิของแต่ละฝ่าย
** ต้องบวกแต้มต่อ (Komi) ให้ฝ่ายขาวด้วย

<< ตัวอย่างรูปนี้ :
ฝ่ายดำได้พื้นที่ 47 จุด (ในรูปแสดงด้วยสี่เหลี่ยมสีดำ)
...ฝ่ายขาวได้พื้นที่ 100 จุด (ในรูปแสดงด้วยสี่เหลี่ยมสีขาว)
หมากเชลยของขาวมีทั้งหมด 8 เม็ด ; ของดำมี 12 เม็ด ...
คะแนนขาว : 100 - 8 = 92 คะแนน
คะแนนดำ : 47 - 12 + 5.5 = 40.5 คะแนน
สรุปผล : ฝ่ายขาว ชนะดำ 51.5 แต้ม (92-40.5)
* นับคะแนนแบบญี่ปุ่น = พื้นที่ - หมากเชลยที่คู่ต่อสู้กินได้ + แต้มต่อ(เฉพาะฝ่ายขาว)

การนับคะแนนแบบจีน ::: การนับแบบจีนจะคล้ายกับแบบญี่ปุ่น แต่ต่างกันเล็กน้อยดังนี้...
3.1 การนับแบบจีน จะไม่นำหมากเชลยมาหักลบออกจากคะแนนพื้นที่
3.2 การนับแบบจีน จะนับทั้งคะแนนพื้นที่ และเม็ดหมากทั้งหมดที่อยู่บนกระดานด้วย
การนับทั้งแบบจีนและแบบญี่ปุ่น แม้รวมคะแนนแล้ว จะออกมาต่างกัน แต่ผลต่างคะแนนแพ้ชนะจะเท่ากันเสมอครับ
ขึ้นไปบนสุดของหน้านี้

--------------------------------------------------------------------------------
กติกา สถานการณ์ "โคะ (Ko)"
มีสถานการณ์หนึ่ง ซึ่งผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่าย สามารถจับกินกันกลับไปกลับมาได้ไม่สิ้นสุด เรียกสถานการณ์นี้ว่า "โคะ (Ko)" ...จึงมีการกำหนดกติกาเกี่ยวกับ สถานการณ์โคะไว้ว่า ...ถ้าผู้เล่นฝ่ายหนึ่งจับกินหมากในสถานการณ์โคะแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งจะจับกินคืนในทันทีไม่ได้ เว้นแต่ต้องนำหมากไปเล่นที่อื่น อย่างน้อย 1 ตาก่อน แล้วจึงกลับมาจับกินโคะคืนได้ ...ดูตัวอย่างเพื่อความเข้าใจครับ
รูปที่ 7.1
ในรูปนี้เป็นตัวอย่างสถานการณ์โคะครับ ...ดูรูปต่อไป
รูปที่ 7.2
เหตุการณ์ต่อจากรูปที่แล้ว ...ดำวางหมากดำ 1 จับขาวกินไป 1 เม็ดดังรูป ทำให้เกิดสถานการณ์โคะขึ้นมาแล้ว
รูปที่ 7.3
ต่อจากรูปที่แล้ว ...ขาวจะวางหมากขาว 2 ตามรูปนี้ เพื่อจับดำ 1 กินทันทีไม่ได้ แต่ต้องนำหมากขาว 2 ไปวางที่อื่นก่อนอย่างน้อย 1 ตาก่อน จึงสามารถกลับมาวางหมากกินโคะได้ (กินโคะในตัวอย่างนี้หมากถึงกินดำ 1)

* ขาว 2 , ดำ 3 ไปเล่นในส่วนอื่นของกระดาน รูปที่ 7.4
ต่อจากรูปที่ 7.2 ...ตามกติกาโคะ ขาวต้องนำหมากไปเล่นที่อื่นอย่างน้อย 1 ตาก่อนจึงจะกลับมากินโคะได้ ...ตามรูปนี้ ขาว 2 ไปเล่นในส่วนอื่นของกระดาน ...ดำ 3 ก็เช่นกัน ...ขาว 4 จึงกลับมากินโคะ (ดำ 1) ได้
รูปที่ 7.5
โคะเกิดได้ทุกส่วนของกระดาน ...ในตัวอย่างนี้แสดงตัวอย่างโคะที่เกิดขึ้นริมขอบกระดานครับ ...ดูรูปต่อไป
รูปที่ 7.6
เมื่อดำจับขาวกินด้วยดำ 1 ...ดูรูปต่อไป

* ขาว 2 , ดำ 3 ไปเล่นที่ส่วนอื่นของกระดาน รูปที่ 7.7
ขาวจะกินโคะด้วยขาว 2 ทันทีไม่ได้ ต้องนำหมากไปเล่นที่อื่นก่อน ...ในรูปนี้ ขาว 2 และดำ 3 ไปเล่นส่วนอื่นของกระดาน ...ขาว 4 จึงมีโอกาสกลับมากินโคะได้
รูปที่ 7.8
โคะเกิดได้ทุกส่วนของกระดาน ...ในตัวอย่างนี้แสดงตัวอย่างโคะที่เกิดขึ้นริมขอบกระดานครับ ...ดูรูปต่อไป
รูปที่ 7.9
เมื่อดำจับขาวกินด้วยดำ 1 ...ดูรูปต่อไป

* ขาว 2 , ดำ 3 ไปเล่นที่ส่วนอื่นของกระดาน รูปที่ 7.A
ขาวจะกินโคะด้วยขาว 2 ทันทีไม่ได้ ต้องนำหมากไปเล่นที่อื่นก่อน ...ในรูปนี้ ขาว 2 และดำ 3 ไปเล่นส่วนอื่นของกระดาน ...ขาว 4 จึงมีโอกาสกลับมากินโคะได้
โคะสามารถเกิดได้ทั้งที่กลางกระดาน , ริมขอบกระดาน , มุมกระดาน ซึ่งก็เป็นลักษณะเดียวกัน
* เมื่อฝ่ายหนึ่งกินโคะ อีกฝ่ายจะกินคืนทันทีไม่ได้ ...ต้องนำหมากไปเล่นที่อื่นอย่างน้อย 1 ตาก่อน จึงกลับมากินโคะได้

ขึ้นไปบนสุดของหน้านี้

--------------------------------------------------------------------------------
กติกา สถานการณ์ "ต่างรอด (Seki)"
มีสถานการณ์หนึ่งที่กลุ่มหมากของผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่ายไม่มี 2 ห้องทั้งคู่ แต่กลุ่มหมากของทั้ง 2 ฝ่ายก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการอิงอาศัยกลุ่มหมากของอีกฝ่ายหนึ่ง ...ซึ่งในสถานการณ์นี้ ผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่สามารถอะตาริเพื่อหวังจับกินกลุ่มหมากของฝ่ายตรงข้ามได้ เพราะจะมีผลทำให้กลุ่มหมากของตนเองถูกจับกินทันที ...ในสถานการณ์ต่างรอด (Seki) นี้ เมื่อจบเกมจะถือว่ากลุ่มหมากของทั้ง 2 ฝ่าย มีชีวิตไม่ตายทั้งคู่ และพื้นที่ที่เกิดขึ้นในสถานการณ์นี้จะไม่นับคะแนน ถือว่ามีพื้นที่เป็น 0 คะแนน (แต่พื้นที่ที่เป็นห้องของแต่ละฝ่าย จะต้องนับรวมคะแนนด้วย และหมากเชลยที่ถูกจับกิน ก็จะต้อง นำมารวม นับคะแนนตามปกติด้วย) ...ดูตัวอย่างครับ
รูปที่ 8.1
รูปนี้เป็นสถานการณ์ต่างรอด ที่เกิดขึ้นกลางกระดาน ...ทั้งฝ่ายขาวและฝ่ายดำไม่สามารถวางหมากที่ A หรือ B เพื่ออะตาริคู่ต่อสู้ได้ เพราะจะทำให้คู่ต่อสู้จับกินได้ทันที ...สถานการณ์นี้ จึงเป็นต่างรอด (Seki)
...ถ้าเล่น A จะถูกจับกินที่ B หรือถ้าเล่น B จะถูกจับกินที่ A
รูปที่ 8.2
นี่ก็เป็นสถานการณ์ต่างรอดครับ แต่นี่เกิดที่ริมกระดาน ...ทั้ง 2 ฝ่ายไม่สามารถวางหมากที่ A หรือ B เพื่ออะตาริคู่ต่อสู้ได้ เพราะจะทำให้หมากตัวเองถูกจับกิน เช่นเดียวกับรูปที่แล้วครับ
...ถ้าเล่น A จะถูกจับกินที่ B หรือถ้าเล่น B จะถูกจับกินที่ A
รูปที่ 8.3
นี่เป็น สถานการณ์ต่างรอดที่เกิดที่มุมกระดานครับ ...ดำไม่สามารถวางหมากที่ A เพื่ออะตาริขาวได้ เพราะขาวจะสามารถจับกินดำที่ B ได้ ...ฝ่ายขาวก็ไม่สามารถวางหมากที่ A เพื่ออะตาริดำได้เช่นกัน เพราะดำจะจับกินที่ C
** จุด B เป็นพื้นที่ของดำ (1 คะแนน)
จุด C เป็นพื้นที่ของขาว (1 คะแนน)
จุด A ไม่นับคะแนน
* เมื่อจบเกม หมากของทั้ง 2 ฝ่ายในสถานการณ์ต่างรอด จะถือว่ารอดทั้งคู่ และดินแดนภายในสถานการณ์นี้จะไม่นับคะแนน

10 วิธี กับการฝึกฝนหมากล้อม จากอินเตอร์เน็ท

10 วิธี กับการฝึกฝนหมากล้อม จากอินเตอร์เน็ท


วิธีที่ 1 : ดาวน์โหลดโปรแกรม Computer Go มาฝึกเล่น

โปรแกรม โกะคอมพิวเตอร์ (Computer Go) เป็นโปรแกรม ประเภทเดียวกับหมากรุกคอมพิวเตอร์ คือคอมพิวเตอร์จะคำนวนหาการเดินหมากที่ดีที่สุด เพื่อเดินหมากเอาชนะเรา
(แต่ถึงปัจจุบันโกะคอมพิวเตอร์โปรแกรมที่เก่งที่สุดในโลก ยังมีฝีมือเพียงระดับ 5คิว เท่านั้นครับ)
โปรแกรมโกะคอมพิวเตอร์เหล่านี้ จึงเหมาะกับผู้ที่เพิ่งเริ่มหัดเล่นใหม่ๆ ที่ฝีมือยังอ่อนอยู่ครับ
โปรแกรม Computer สามารถหาดาวน์โหลด ได้ใน หน้าดาวน์โหลด ครับ


นี่คือโฉมหน้าของโปรแกรม IGOwin ...โปรแกรม Computer Go ขนาดกระดาน 9x9 เหมาะสำหรับ มือใหม่ นำไปฝึกเล่นครับ


TurboGo : โกะคอมพิวเตอร์อีกโปรแกรม ที่เหมาะสำหรับมือใหม่ (เป็น Game Record Editor ได้ด้วย)


Handtalk : โกะคอมพิวเตอร์ (ในรูปเป็นเวอร์ชั่น กระดาน 9x9) ซึ่ง Handtalk เวอร์ชั่น 19*19 ถือว่าเป็นโกะคอมพิวเตอร์ที่เก่งที่สุดในโลกในปัจจุบันครับ (5k) ถ้าจะเล่นเวอร์ชั่น 19*19 ก็ต้องจ่ายเงินครับ

โปรแกรมโกะคอมพิวเตอร์ทั้ง 3 โปรแกรมในรูป มีให้ดาวน์โหลดฟรี ที่ หน้าดาวน์โหลด ครับ
วิธีที่ 2 : เล่นโกะออนไลน์กับคนอื่น

ปัจจุบัน ในอินเตอร์เน็ทได้มีเว็บไซต์ที่บริการเล่นหมากล้อม (โกะ) ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ทอยู่หลายแห่งทีเดียว และสามารถเข้าเล่นได้ไม่ยาก ที่สำคัญ ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ...โดยผู้ที่จะเล่น จะต้อง Online อยู่ในเวลาเดียวกัน แล้วเล่นกันสดๆ เช่นเดียวกับการเล่นเกมออนไลน์อื่นๆ ......สถานที่ที่ให้บริการเล่นโกะออนไลน์ที่มีชื่อเสียง ได้แก่
1. Yahoo! Games
2. Internet Go Server
3. Handtalk World
4. Kiseido Go Server
5. No Name Go Server
6. Dashn.com

รายละเอียดเกี่ยวกับการเล่นโกะออนไลน์ ศึกษาเพิ่มเติมที่นี่ครับ
สมัครเล่นโกะ ที่ Internet Go Server คลิกที่นี่
วิธีที่ 3 : ศึกษาบทเทคนิกการเล่นจากเว็บไซต์โกะ


หลายคนคงเคยอ่านซื้อหนังสือโกะกันมาบ้างแล้ว ปัจจุบัน มีเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับโกะ ทั่วโลก และแทบทุกภาษา เป็นพันๆเว็บ ซึ่งเราสามารถหาบทความเกี่ยวกับโกะ หรืออ่านศึกษาเทคนิกการเล่นโกะได้อย่างง่ายดาย (เพียงเข้าใจภาษานั้นๆ) โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ...เว็บโกะที่มีบทความและเทคนิกการเล่นโกะ ให้อ่านมาก ได้แก่
1. Go, an Addictive Game
2. Mind Sport World Wide
3. The Magic Of Go

ดูรายชื่อเว็บไซต์อื่นๆ เพิ่มเติม ได้ที่นี่
วิธีที่ 4 : ฝึกแก้โจทย์ปัญหาโกะจากอินเตอร์เน็ท


ในจำนวนเว็บไซต์โกะนับพัน ตามที่ได้กล่าวไว้แล้วนะครับ ก็มีเว็บพวกที่ มีโจทย์ปัญหาโกะให้ฝึกแก้โจทย์ปัญหา หาคำตอบหมากฝึกฝีมือด้วย และในจำนวนเว็บเหล่านี้ ก็มีทั้งที่เป็น โจทย์ปัญหาแบบธรรมดาๆ เหมือนกับเราอ่านหนังสือ Life&Death และก็แบบที่พิเศษกว่านั้น คือ โจทย์ปัญหาโกะแบบโต้ตอบได้ ซึ่งใช้ Applet เป็นตัวช่วย ซึ่งทำให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนกว่า การอ่านหนังสือโกะทั่วๆไปครับ ...เว็บที่มีโจทย์ปัญหาโกะอยู่มาก ได้แก่
1. Go Problems.com
2. Thai Go Club

ดูรายชื่อเว็บไซต์อื่นๆ เพิ่มเติม ได้ที่นี่
วิธีที่ 5 : ศึกษาการเล่น จากบันทึกเกม


ไม่ว่ามือใหม่ ระดับเริ่มต้น หรือแม้แต่ ผู้เล่นระดับดั้ง ก็ยังศึกษาเกมการเดินหมากของมืออาชีพกันครับ เพื่อศึกษาเป็นแบบอย่างการเดินหมาก ดู Concept และเทคนิก ต่างๆ เพื่อพัฒนาฝีมือการเล่นของเราเอง ...และก็เช่นกัน ในจำนวนเว็บไซต์โกะนับพัน ก็มีบริการ ให้ดาวน์โหลดบันทึกเกมของมืออาชีพ หรือของมือสมัครเล่น (ซึ่งได้รับการ comment{วิจารณ์} แล้ว) มาศึกษารูปแบบการเดินหมากได้ฟรีๆ ง่ายๆ (ไฟล์บันทึกเกมเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นไฟล์นามสกุล .sgf หรือ .go ซึ่งต้องใช้โปรแกรมช่วยเปิด หาดาวน์โหลดได้ใน หน้าดาวน์โหลด) ...เว็บที่มีบันทึกเกมให้ดาวน์โหลดมาก ได้แก่
1. Go, an Addictive Game
2. Jun's Go World
3. Magnus Persson's

ดูรายชื่อเว็บไซต์อื่นๆ เพิ่มเติม ได้ที่นี่
วิธีที่ 6 : ส่งบันทึกเกมไป comment


และในจำนวนเว็บโกะนับพันเว็บ (อีกแล้ว :) ก็มีเว็บโกะที่บริการ ให้เราส่ง ไฟล์บันทึกเกมของเราไปให้ ผู้เล่นที่มีระดับฝีมือสูงกว่า comment หรือวิจารณ์, แนะนำ การเดินหมากได้ ...เว็บที่มีบริการ Comment Game ให้ ได้แก่
1. The Go Teaching Ladder

ดูรายชื่อเว็บไซต์อื่นๆ เพิ่มเติม ได้ที่นี่
วิธีที่ 7 : ดูถ่ายทอดสดการแข่งขันโกะมืออาชีพ ทางอินเตอร์เน็ท


ใน Internet Go Server หรือ Go Server แห่งอื่นๆ มักจะมีการ ถ่ายทอดสด การแข่งขัน รายการสำคัญๆ ของมืออาชีพ ซึ่งเราสามารถ Login แล้วเข้าไปดูถ่ายทอดสดได้ โดยมีวิธีการบอก แล้วแต่ตามแต่ละ Go Server ครับ (ไม่เสียค่าใช้จ่าย ใดๆทั้งสิ้น) แต่การแข่งขันของมืออาชีพ แข่งกระดานหนึ่ง ใช้เวลาร่วม 2 วันเลยทีเดียว และกว่าจะเดินหมากได้แต่ละเม็ด ก็นานเลยครับ จะทนดูอย่างเดียวตลอดคงไม่ไหวแน่ เข้าไปดูเป็นระยะๆก็ดีครับ ...โกะ Sever ที่สามารถเข้าชมการถ่ายทอดสดได้ ได้แก่
1. Internet Go Server
2. Kiseido Go Server

สมัครเล่นโกะที่ Internet Go Server คลิกที่นี่
วิธีที่ 8 : สมัครเรียนโกะกับมืออาชีพทางอินเตอร์เน็ท


มีเว็บของนักเล่นโกะระดับมืออาชีพหลายคน ที่เปิดรับสอนโกะทางอินเตอร์เน็ท ซึ่งสามารถ รับการสอนสดๆ ผ่านทาง Email (หรือวิธีอื่นๆ ตามวิธีของแต่ละคน) ซึ่งสามารถดูรายละเอียดของการสอน และการสมัครเรียน ได้ที่เว็บของมืออาชีพที่รับสอน (ส่วนใหญ่ต้องเสียค่าใช้จ่าย)
1. Guo Juan's Go School (5 ดั้ง มืออาชีพ ชาวจีน)
วิธีที่ 9 : เข้ารับบทเรียนโกะฟรี จากนักเล่นโกะมืออาชีพ


ที่ว่าในข้อที่ 8 อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่าย ในการรับการสอนนะครับ ...แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย คือ ฟรี 100% ...โดยมืออาชีพ จะเข้ามา Comment (วิจารณ์ / อธิบาย / ชี้แนะ) การเดินหมาก ให้ดู ใน Go Server ใหญ่ๆ อย่าง Internet Go Server (IGS) หรือ Kiseido Go Server (KGS) ฯลฯ โดยเราสามารถเข้าไปรับบทเรียนสดๆ ได้ และมีข้อสงสัยก็สามารถถามจาก มืออาชีพได้โดยตรงด้วย ...แต่โอกาสดีๆ ที่มืออาชีพจะมาสอนให้ฟรีๆ แบบนี้ มีไม่บ่อยนักครับ ...
1. Internet Go Server
2. Kiseido Go Server

สมัครเล่นโกะที่ Internet Go Server คลิกที่นี่
วิธีที่ 10 : สมัครเข้า Mailing List นักเล่นโกะไทย


Thai Go Mailing List : สมัครเข้า Mailing List นักเล่นโกะไทย ซึ่งเขาจะจัดทำบทเรียนโกะ , Commented Game หรือของแจกอื่นๆ มาแจกแก่สมาชิก ใน Mailing List ครับ
1. Thai Go Mailing List

วันพุธ, พฤษภาคม 21, 2551

หมากล้อม เกมส์แห่งอัจฉริยะ

อู๋ชิงหยวน หนึ่งในอัจฉริยะนักวางหมากล้อม ของจีน กล่าวว่า

"พวกท่านรู้จักความหมายของอักษรจีน ที่แปลว่า ตรงกลาง หรือไม่ อักษรที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วมีเส้นขีดแบ่งผ่ากลาง สิ่งที่ถูกแบ่งแยกออกเป็นซ้าย-ขวานั้นคือ หยินกับหยาง ส่วนเส้นตรงที่ผ่ากลางนั้น บ่งชี้ว่า จักรวาล หรือ เต๋า นั้นไร้รูป ไร้ขอบเขต จนต้องขีดเส้นผ่าออกมาจึงปรากฏเป็นรูป...

"ในหมากล้อมนั้น การบรรลุถึงสภาวะแห่ง "ตรงกลาง" นี้ เป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะผู้ใดก็ตามที่ค้นพบ "ตรงกลาง" นี้ได้ในกระดานหมากล้อมขณะนั้น เขาก็จะค้นพบตำแหน่งการวางที่ถูกต้องในขณะนั้น ซึ่งทำให้หมากทั้งหมดบนกระดานเกิดความปรองดองได้..."

"ลำพังแค่การค้นคว้าทางเทคนิคอย่างเดียว เราไม่สามารถที่จะเข้าถึงหรือบรรลุถึงสภาวะแห่ง "ตรงกลาง" นี้ได้ เพราะ "ตรงกลาง" นี้มันจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา พร้อมๆ กับหมากแต่ละหมากที่ได้วางลงไป ผู้ที่จะเข้าถึงสภาวะนี้ได้ จะต้องเป็นผู้ที่สามารถทำจิตของตนให้ใสกระจ่างดุจกระจกที่สามารถสะท้อนภูมิปัญญาอันล้ำเลิศของจักรวาลออกมาในการเดินหมากแต่ละหมากที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้"

และนั่นเหมือนคำอธิบายของหนังเรื่อง
The Go Master... ในตอนเปิดตัวเรื่องของหนังว่า ทำไมในการประลองหมากล้อมกับ นักเล่นฝ่ายญี่ปุ่น ในช่วงต้น ค.ศ.1930 เขาจึงใช้กลวางหมากตรงกลางกระดาน ความหมายไม่ได้หมายถึงตำแหน่งหมากที่ตรงกลางสถานเดียว แต่มันหมายถึง การวางหมากในตำแหน่งแห่งการประนีประนอม

สื่อนำการวางหมากนี้ไปตีความว่า จีน และ ญี่ปุ่น ซึ่งกำลังทำศึกในปี นั้น ซูเอี๋ยกันซะแล้ว




..."โกะ" คือ หมากกระดานชนิดหนึ่ง มีต้นกำเนิดจากจีน จีน เมื่อประมาณ 3000-4000 ปีมาแล้ว...ภาษาไทยเรียกโกะว่า "หมากล้อม" ภาษาจีนเรียกโกะว่า "เหวยฉี" (Wei Qi)ส่วนคำว่า "โกะ" เป็นภาษาญี่ปุ่น ที่นิยมเรียกตามภาษาญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่โกะรุ่งเรืองที่สุด ...ปัจจุบัน ประเทศที่มีผู้คนเล่นโกะกันมากที่สุดได้แก่ ประเทศเกาหลี , ญี่ปุ่น , จีน , ไต้หวัน รวมทั้ง สิงคโปร์กำลัง สนับสนุนอย่างมาก ให้ประชาชนเล่นโกะ


เหวยฉี เป็นที่นิยมเล่นกัน ในหมู่ ปัญญาชนชั้นสูง และขุนนาง ผู้บริหารประะเทศ ในสมัยนั้น ...เหวยฉี หรือหมากล้อม เป็นหมากกระดาน ประจำชาติจีน ถูกจัดเป็น 1 ใน 4 ศิลปะประจำชาติจีน เป็นภูมิปัญญาจีนแท้ ในขณะที่หมากรุกจีน ยังมีเค้าว่า รับมาจากอินเดีย และเพิ่งจะแพร่หลาย ในสมัยราชวงศ์ถังเท่านั้น

ต่อมา เหวยฉี ได้แพร่เข้าสู่ญี่ปุ่น และเกาหลี ...ที่ญี่ปุ่นนี้เอง ที่เป็นแผ่นดินทองของ "โกะ" ซึ่งเป็นคำที่ญี่ปุ่นใช้เรียก เหวยฉี หรือหมากล้อม

หมากล้อม หรือโกะ เป็นกีฬาที่มีกฎกติกาเพียงเล็กน้อย กติกาข้อหลักสำคัญที่สุดคือ "วางหมากให้ล้อมพื้นที่ว่างให้ได้มากกว่าคู่ต่อสู้" การเล่นนั้นพลิกแพลงได้มากมายมหาศาล ...หมากรุกนั้น ยังมีคนสามารถสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้ชนะนักหมากรุกแชมป์โลกได้ แต่แม้ว่า จะมีผู้พยายามสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์โกะ ให้มีฝีมือเก่งที่สุดเพียงไร ก็ทำได้เพียงแค่เทียบเท่าระดับฝีมือล่าง ๆ เท่านั้น โปรแกรมคอมพิวเตอร์โกะที่เก่งที่สุดในโลกในปัจจุบัน เทียบได้กับฝีมือระดับ 5 คิวเท่านั้น ซึ่งเป็นระดับฝีมือค่อนข้างต่ำ โกะมีระดับฝีมือคิว (ระดับฝึกหัด), ระดับดั้ง (ระดับอาจารย์) และระดับดั้งโปร (มืออาชีพ)

...โกะรุ่งเรืองอย่างมากในญี่ปุ่น ...สมัย โชกุน โตกุกาว่า ได้สนับสนุน ให้ ทหารเล่นโกะ เปลี่ยนวิธีการรบ ด้วยกำลัง เป็นการรบด้วยปัญญา และ ยังสนับสนุน ให้โกะแพร่หลาย มากยิ่งขึ้นอีก ...โชกุนโตกุกาว่า ได้ตั้งสำนักโกะขึ้น 4 สำนัก เพื่อคัดเลือก ผู้เป็นยอดฝีมือโกะ ของญี่ปุ่น โดยจัดให้สำนักทั้ง 4 คือ ฮงนินโบ , อิโนอูเอะ , ยาสุอิ และ ฮายาชิ ส่งตัวแทน มาประลองฝีมือ เพื่อชิงตำแหน่ง "เมย์จิน" ...จากการส่งเสริมโกะ ของญี่ปุ่น ทำให้อีกประมาณ 100 ปีต่อมา มาตรฐานฝีมือ นักเล่นโกะของญี่ปุ่น ก็ก้าวนำจีน ซึ่งเป็นต้นกำเนิด ของโกะ รวมทั้ง ประเทศเกาหลี ไปไกลแล้ว

ปัจจุบัน ทั่วโลก เล่นโกะ กันอย่างแพร่หลาย โกะ เรียกเป็นสากลว่า "Go" ...ปัจจุบัน โกะ แพร่หลาย ในกว่า 50 ประเทศ ทวีปออสเตรเลีย และ อเมริกาเหนือ ทุกประเทศ อเมริกาใต้ , ยุโรป , เอเชีย เกือบ ทุกประเทศ รวมทั้ง ประเทศไทย ในทวีปแอฟริกา แพร่หลายใน ประเทศ แอฟริกาใต้

ใน พ.ศ.2522 ได้เกิด "สมาพันธ ์หมากล้อม นานาชาติ" (International Go Federation) ขึ้น มีประเทศ สมาชิก เริ่มแรก 15 ประเทศ ปี 2535 เพิ่มเป็น 50 ประเทศ ประเทศไทย ได้เข้าเป็น สมาชิก เมื่อ พ.ศ.2526 ...ประชากร ที่เล่นโกะ ในจีน ประมาณว่ามี 10 ล้านคน , ญี่ปุ่น มี 10 ล้านคน , เกาหลี มี 10 ล้านคน (เกาหลี มีประชากร ทั้งหมด 44 ล้านคน ประชากร ที่เล่นโกะ มีถึง เกือบ 1 ใน 4 ของประชากร ประเทศ) , ในไต้หวัน มี 1 ล้านคน , สหรัฐอเมริกา มี 1 ล้านคน ...โกะ ในด้านการศึกษา มหาวิทยาลัย Princeton ใน สหรัฐอเมริกา ได้ศึกษา ปรัชญา ตะวันออก จากโกะ และ มหาวิทยาลัย Rochester , MIT , YALE , Kellox ก็บรรจุวิชาโกะ ในหลักสูตร MBA และในสิงคโปร์ ก็มีวิชาโกะ ในหลักสูตร ชั้นมัธยมด้วย


โกะจึงเป็นทั้งศาสตร์วิชาชั้นสูงที่ลึกซึ้ง และเป็นทั้งศิลปะที่สวยงาม ที่ออกมาจากความคิด จินตนาการของผู้เล่น
...คนจีนกล่าวว่า "การเล่นโกะ คือ การสื่อสารกันโดยไม่ต้องใช้ภาษา" ...การเล่นโกะให้เป็นนั้น อาจใช้เวลาศึกษากติกาต่าง ๆ เพียง 15 นาทีเท่านั้น แต่การจะเล่นโกะให้เก่งได้นั้น อาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเลยทีเดียว ...

อัจฉริยะ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ยังบอกว่า " ในความเรียบง่ายที่สุดแห่งโกะ กลับแฝงไว้ด้วยซับซ้อนที่สุด "



นักยุทธศาสตร์ ควรศึกษา "ตำราพิชัยสงคราม" ของซุนหวู่"
แต่หากอยากเป็นเหนือกว่านั้น ควรอ่านคัมภีร์ หมากล้อมสิบสามบท ของจางหนี่ ที่เขียนขึ้นในสมัยซ้อง คู่ไปด้วย

บทที่ 1 กระดานหมากล้อม

ตัวเลข 1 ถือเป็นจุดกำเนิดของสรรพสิ่งต่างๆ บนพื้นโลก จุดตัดบนกระดานทั้ง 361 จุด เศษหนึ่งคือจุด เทียนหยวน (จุด เท็นเง็น ในภาษาญี่ปุ่น) ตรงกลางกระดาน เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่ง จากจุดนี้เมื่อขยายวงออกไปทางทิศทั้งสี่ ก็จะได้ผลรวมของพื้นที่เป็น 360 จุด ซึ่งใกล้เคียงกับจำนวนวันในหนึ่งปีตามปฏิทินจันทรคติ (360 วัน) และองศาของวงกลมซึ่งมี 360 องศา

กระดานหมากล้อมแบ่งได้เป็น 4 มุม แต่ละด้านประกอบด้วยจุดทั้งหมด 90 จุด ถือเป็นสัญลักษณ์แทนฤดูกาลทั้งสี่ เม็ดหมากสีดำและสีขาวที่ใช้เล่นมีทั้งสิ้น 360 เม็ดในสัดส่วนที่เท่ากัน เปรียบเสมือน ธาตุหยิน และ ธาตุหยาง รูปทรงสี่เหลี่ยมของตัวกระดานเป็นตัวแทนของ ความสงบนิ่ง ขณะที่ความกลมของเม็ดหมากเป็นตัวแทนของ ความเคลื่อนไหว

ดังนั้น กระดานหมากล้อมจึงเปรียบเสมือนจักรวาลเล็กๆ อันกว้างใหญ่ไพศาล โดยที่ผู้เล่นคือผู้ที่เสกสรรค์เรื่องราวต่างๆ ขึ้นมาโดยผ่านเม็ดหมากสีขาวและสีดำ

บรรดาผู้รู้ทั้งหลายล้วนกล่าวว่า "ขอเพียงได้เจาะลึกและศึกษาหมากล้อมอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ผู้นั้นจะได้ค้นพบและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลาอย่างแน่นอน"

บทที่ 2 ความสำคัญของการวางแผน

ในการเล่นหมากล้อม ผู้เล่น ควรเริ่มเปิดเกมด้วยการวางหมากที่งาม พร้อม อาศัยกลยุทธ์อันแยบยลวางหมากอย่างแม่นยำควบคุมสถานการณ์ทั้งกระดาน ดังนั้น ผู้เล่นจึงควรวาดภาพแผนการเล่นไว้ในใจ และแสดงออกมาให้เห็นผ่านกลวิธีต่างๆ โดยยึดหลัก "แม้ยังไม่เปิดฉาบรบ แต่สามารถกำชัยชนะไว้ในมือ" การจะทำเช่นนั้นได้ต้องดำเนินกลยุทธ์การวางหมากที่ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบแล้ว หากมีบ่อยครั้งที่แม้จะตั้งใจวางแผนมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปดังคาด นั่นก็เป็นเพราะว่า ความมุ่งมั่น ของผู้นั้นยังไม่แรงกล้าพอ ผู้วางแผนอย่างละเอียดรัดกุมจะประสบชัยชนะ ผู้วางแผนโดยขาดความรอบคอบ ย่อมปราชัย นับประสาอะไรกับผู้ไม่เคยวางแผนล่วงหน้ามาก่อน

บทที่ 3 ในช่วงต้นกระดาน

เมื่อเริ่มเกมแข่งขัน ผู้เล่นควรพิเคราะห์ถึงผลได้ผลเสียที่จะตามมาทุกครั้ง ก่อนที่จะตัดสินใจวางหมากแต่ละหมากลงบนกระดาน โดยทั่วไปจะเริ่มวางหมากตรงบริเวณมุมทั้งสี่ของกระดาน ก่อนขยายไปสู่ด้านข้างและกลางกระดานตามลำดับ

การขยายฐานหมากต้องเหมาะสม ไม่ควรปล่อยให้เม็ดหมากวางเรียงติดกันหรือทิ้งห่างจนเกินไปนัก อย่าลืมว่า การเริ่มต้นที่ดีถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว

บทที่ 4 ช่วงสัประยุทธ์กลางกระดาน

ผู้เล่นควรวางหมากด้วยความระมัดระวังทุกฝีก้าว และครุ่นคิดถึงกลวิธีที่จะนำมาใช้อย่างรอบคอบ การขับเคี่ยวทางสติปัญญาซึ่งเต็มไปด้วยความซับซ้อน และลึกซึ้งที่ต้องอาศัยการครุ่นคิดอย่างละเอียดรอบคอบในเกมหมากล้อมนั้น มักเป็นการต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงพื้นที่บริเวณกลางกระดาน

ส่วนกลยุทธ์ที่ใช้วางหมากบริเวณข้างกระดาน จัดว่าไม่ยุ่งยากและซับซ้อนเท่าบริเวณกลางกระดาน ส่วนความยากของการวางหมากตรงมุมกระดานอยู่ในระดับปานกลาง

นักหมากล้อมที่เก่งกาจจะถือคติว่า "ยอมเป็นฝ่ายถูกกิน ดีกว่าการพลาดโอกาสเป็น มือนำ" แม้ว่าในความเป็นจริงผู้เล่นจะผลัดกันวางหมากคนละตาเดินก็ตาม

ในการโจมตีด้านซ้ายของกระดาน ก็พึงระมัดระวังด้านขวาของกระดานไปพร้อมๆ กันด้วย การเลือกโจมตีจึงควรคำนึงถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นทั้งกระดานให้ดีเสียก่อน

เมื่อกลุ่มหมากของฝ่ายตรงข้ามล้วนเป็นหมากรอด อย่าสิ้นเปลืองเม็ดหมากไปกับการวางหมากตัดฝ่ายตรงข้าม

กรณีที่กลุ่มหมากของตนปลอดภัยแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องวางหมากเพื่อเสริมความแข็งแกร่งอีก แต่หากตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเสริมหมาก ก็ควรรีบทำโดยด่วน สิ่งที่พึงระวังในการเสริมหมากก็คือ ควรทิ้งระยะห่างระหว่างเม็ดหมากที่นำมาเสริม

การพยายามกู้หมากที่กำลังจะตายให้กลายเป็นหมากรอดนั้น มีประสิทธิภาพด้อยกว่าการยอมสละหมากเม็ดนั้นๆ เพื่อประโยชน์ในการได้เป็นฝ่ายบุก หมากที่มีโอกาสรอดน้อย และยากต่อการกู้ย่อมสู้การเสริมหมากที่บริเวณอื่นไม่ได้

ในกรณีที่สถานการณ์ของตนเข้มแข็งกว่าฝ่ายตรงข้าม สิ่งแรกที่ควรทำคือ การเสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มหมากที่มีลมปราณเหลือน้อย

ถ้าคู่ต่อสู้อยู่ในสถานการณ์ที่มีหมากอ่อนแอ และแตกกระจาย อย่าเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามพลิกฟื้นสถานการณ์กลับมาได้เปรียบอีกครั้ง

วิธีการที่หลักแหลม น่าเลื่อมใสของการวางหมากคือ การไม่บุกโจมตีฝ่ายตรงข้าม แต่กลับเป็นฝ่ายได้เปรียบ การเปิดเกมที่ดีจะช่วยให้เป็นฝ่ายได้เปรียบ การอ่านหมากอย่างละเอียดถี่ถ้วนจะช่วยให้ไม่เสียเปรียบเท่านั้น แต่ ถ้าหากต้องการชัยชนะ ควรแสวงหาโอกาสที่คู่ต่อสู้คาดไม่ถึง

เมื่อผู้เล่นตกอยู่ในภาวะที่ไม่ค่อยดีนัก อย่าลนลาน ควรวางตนให้สงบ กลุ่มหมากที่ตัดสินใจวางเรียบร้อยแล้วควรกลับไปพิจารณาให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง โดยเฉพาะพื้นที่ในส่วนที่คิดว่าคู่ต่อสู้ไม่สามารถเข้ามารุกรานได้ ยิ่งจัดเป็นพื้นที่อันตรายซึ่งอาจเกิดความผิดพลาดอย่างไม่คาดคิด และไม่สามารถป้องกันได้

หากฝ่ายตรงข้ามวางหมากเสริมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความคิดที่จะเปิดฉากโจมตี ดังนั้น การมองข้ามการเสียหมากเล็กๆ น้อยๆ ไป สามารถหักเหความสนใจของฝ่ายตรงข้ามได้มากกว่า

การวางหมากแบบขอไปทีโดยขาดการไตร่ตรองเสียก่อน เป็นสาเหตุนำไปสู่ความพ่ายแพ้เสมอ เพราะฉะนั้น การวางหมากแต่ละหมากจึงต้องระมัดระวังเต็มที่เสมือนหนึ่งกำลังยืนอยู่ริมหน้าผา


บทที่ 5 ภาพลวงกับความเป็นจริง

เมื่อปะทะกันจนถึงเกมกลางกระดาน ผู้เล่นไม่ควรเลือกจู่โจมคู่ต่อสู้ในทุกตำแหน่ง เพราะจะส่งผลให้ตนเองมีจุดอ่อนหลงเหลืออยู่มากมาย ซึ่งจะทำให้หมากของตนมีความแข็งแกร่งลดน้อยถอยลงไป

หลังจากที่หมากขาดความแข็งแกร่ง ก็ง่ายต่อการผิดพลาดและยากที่จะรับมือฝ่ายตรงข้ามได้

ไม่ควรเข้าไปบีบหรือวางหมากใกล้คู่ต่อสู้จนเกินไปนัก ควรทำการขู่บริเวณพื้นที่ว่างของฝ่ายตรงข้ามอยู่ห่างๆ เพราะผลที่ได้จากการวางหมากประชิดกับคู่ต่อสู้คือ จะช่วยเสริมให้เม็ดหมากของฝ่ายตรงข้ามเกิดความแข็งแกร่งมากขึ้น ขณะเดียวกันหมากของตนก็เกิดช่องโหว่ หมากที่ไม่แข็งแกร่งพอจะง่ายต่อการถูกโจมตี แม้ว่าจะกลายเป็นหมากที่แข็งแกร่งในภายหลังก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนัก

จะจู่โจมอย่างสายฟ้าแลบ หรือจะโจมตีอย่างค่อยเป็นค่อยไป ควรปล่อยให้เป็นไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเล่น ไม่ควรยึดเอากฎเหล่านี้มาใช้อย่างตายตัว พึงยึดหลัก เมื่อสบโอกาสก็ควรลงมือจู่โจม หากโอกาสยังไม่อำนวยก็ควรอดใจรอ

บทที่ 6 รู้จักตนเอง

ผู้มีปัญญาย่อมสามารถคาดการณ์ผลที่จะเกิดขึ้นก่อนที่เรื่องราวจะบังเกิด ขณะที่ผู้โง่เขลายังไม่รู้แม้กระทั่งสาเหตุที่ก่อให้เกิดผลดังกล่าว

ดังนั้น การตระหนักถึงจุดด้อยของตน และล่วงรู้ถึงจุดเด่นของคู่ต่อสู้ ยอมปล่อยให้คู่ต่อสู้แสดงศักยภาพในขณะที่อำพรางจุดอ่อนของตนไว้ได้ก็จะสามารถเป็นผู้กำชัยชนะ

ผู้ใดรู้ว่า ณ เวลาใด ภายใต้เงื่อนไขใดที่สามารถลงมือโจมตีหรือไม่โจมตีฝ่ายตรงข้ามได้ ผู้นั้นก็จะได้รับชัยชนะ

เมื่อตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่หมากไม่เกาะกลุ่มกัน และรู้ว่าควรทำอย่างไรให้หมากกลับมาเชื่อมโยงกันได้ หรือเมื่อตนเองกำลังอยู่ในสภาวะที่กำลังได้เปรียบ และมีอิทธิพลอย่างสูงแล้วรู้ว่าควรจะวางหมากอย่างไร

หากผู้ใดสามารถรับมือกับสถานการณ์ทั้งสองกรณีนี้ได้ ชัยชนะก็จะตกอยู่ในมือขวา หลังจากการวางหมากสัมฤทธิผลจนเป็นเหตุให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถกลับมาท้าทายและเป็นฝ่ายบุกโจมตีได้ เช่นนี้ก็ง่ายต่อการกำชัยชนะ ไม่ต้องผ่านการฟาดฟันกันอย่างดุเดือด แต่ก็สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ได้

บุคคลที่รู้จักตนเองเป็นอย่างดีในทุกๆ ด้าน จึงเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเป็นเลิศโดยแท้จริง

บทที่ 7 การประเมินสถานการณ์

การวางหมากระหว่างเกมการเล่น ควรให้หมากที่วางมีความเชื่อมโยงกัน นับตั้งแต่ต้นเกมจนถึงท้ายเกม และพยายามช่วงชิงสิทธิ์ในการเป็นฝ่ายบุก

หลังโจมตีเข่นฆ่าหมากคู่ต่อสู้เรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าผลแพ้ชนะยังไม่ถึงที่สุด ก็ไม่ควรละความพยายามในทุกตำแหน่งบนกระดาน ในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายได้เปรียบควรใช้กลยุทธ์ป้องกันการบุกโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามในบริเวณที่เป็นช่องโหว่

ในสถานการณ์ที่ไม่สู้จะดีนัก ผู้เล่นควรกล้าวาง "หมากได้เสีย" ที่ส่งผลต่อการได้เสียของรูปเกม โดยมีปณิธานอันแน่วแน่ต่อการเข้าสู้รบกับฝ่ายตรงข้าม

การวางหมากไต่ตามเส้นขอบกระดาน แม้จะไม่เกิดความเสี่ยงอะไร แต่อาจนำความพ่ายแพ้มาสู่ตนได้ ฝ่ายที่มีเม็ดหมากไม่แข็งแกร่ง พอเสริมความแกร่งกลับยิ่งเป็นการฝังตัวเอง

ผู้ที่รีบร้อนจะเป็นฝ่ายกำชัย มักไม่สามารถขยายอาณาเขตให้มากดังใจหวัง และต้องพบกับความพ่ายแพ้ในที่สุด

กรณีที่หมากของทั้งสองฝ่ายต่างโอบล้อมกันอยู่ ควรปิดลมหายใจจากภายนอกก่อน หากมีกลุ่มหมากอ่อนแอ ไม่มีพลังช่วยเหลือจากหมากกลุ่มอื่นรอบด้าน ก็ไม่ควรละมือไปเดินที่จุดอื่น

เมื่อกลุ่มหมากถูกโจมตีจนกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ก็ไม่ควรดันทุรังวางหมากต่อไปจนถึงที่สุด ควรรอจังหวะ และโอกาสที่จะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง นี่คือ "การเดินเกมโดยไม่ขยับหมาก" และเป็น "การวางหมากที่เหมือนไม่ได้วาง" รอโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามวางหมากพลาดเองเพียงแค่ครั้งเดียว โดยหันเปลี่ยนไปเล่นที่กลุ่มหมากบริเวณอื่นก่อนเพื่อรอโอกาส

คัมภีร์อี้จิง กล่าวไว้ว่า เมื่อตกอยู่ในภาวะคับขัน ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นโดยธรรมชาติ เมื่อการเปลี่ยนแปลงมาถึง ก็คือโอกาสกำลังจะมาถึง ทำให้สามารถพัฒนาต่อไปได้ โอกาสแห่งชัยชนะย่อมติดตามมา

บทที่ 8 การอ่านใจ

การอ่านใจคนคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีความสุขุมล้ำลึกนั้น ออกจะเป็นเรื่องที่ยาก แต่หากมองย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีตซึ่งส่งอิทธิพลต่อพฤติกรรมเขา จะทำให้ทราบว่า บุคคลผู้นั้นกำลังคิดอะไรอยู่ได้

การเป็นฝ่ายพ่ายแพ้หรือฝ่ายชนะจัดเป็นเหตุการณ์ที่สามารถคาดการณ์ได้ ผู้ที่ไม่วางหมากด้วยความเลินเล่อ ไม่จู่โจมอย่างมุทะลุดุเดือดเกินกำลัง ย่อมเป็นผู้ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลเสมอ แค่วางหมากของตนในตำแหน่งที่มั่นคงและไร้ช่องโหว่ ก็สามารถชนะได้อย่างสบายๆ

พึงตระหนักว่า การเข่นฆ่าเม็ดหมากของคู่ต่อสู้อย่างบ้าระห่ำจะมีแต่เสียไม่มีได้

หลังจากพ่ายแพ้ในเกมแล้ว ควรนำหมากเกมนั้นมาพิจารณาดูอีกครั้งเพื่อหาสาเหตุแห่งความปราชัย ควรเสาะหาข้อบกพร่องของตนในจุดต่างๆ หลังจบเกมการแข่งขันทุกครั้ง การไม่สามารถค้นหาจุดบกพร่องของคู่ต่อสู้ถือเป็นผลเสียต่อการเล่นในคราวต่อๆ ไป

ระหว่างการเล่นเกมควรตั้งสติและทำจิตใจให้แน่วแน่จนเกมการแข่งขันจบลง การไม่รวบรวมสมาธิปล่อยให้จิตใจวอกแวกไปกับเรื่องต่างๆ จะทำให้ไม่สามารถรวบรวมความคิดให้เป็นหนึ่งเดียวได้

หากขาดการฝึกฝนจะสามารถยกระดับฝีมือการเล่นได้อย่างไรกัน ผู้ที่สามารถค้นพบจุดเด่นของคู่แข่งและให้ความยกย่อง ผู้นั้นต่อไปจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง

การคิดว่าฝ่ายตรงข้ามไร้ฝีมือ และวางหมากด้วยความประมาทจะเป็นฝ่ายชนะได้อย่างไรกัน ระหว่างการเล่นควรควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในความสงบ ทำให้คู่ต่อสู้ไม่สามารถล่วงรู้ถึงจุดอ่อนของตน

พึงตระหนักไว้เสมอว่า ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนแต่มีสติปัญญาทั้งสิ้น


บทที่ 9 ธรรมะ และอธรรม

การบัญชาการกองทัพในยามออกศึก ควรทำอย่างสง่าผ่าเผย แม้หมากล้อมจะเป็นเพียงการละเล่นชนิดหนึ่ง แต่ก็เป็นศิลปะชั้นสูงที่สามารถผสานเอากลยุทธ์ที่ใช้ในการเล่นเกมกับกลยุทธ์ในการศึกเข้าไว้ด้วยกันได้

ขณะเล่นหมากล้อม ทั้งสองฝ่ายเผชิญกันอย่างซึ่งๆ หน้า ผู้เล่นพึงมีจริยธรรมในขณะเล่น ใช้วิธีการที่ใสสะอาด หลีกเลี่ยงแผนการอันสกปรก ที่ใช้เทคนิคลวงโลก หรือการสร้างความรำคาญใจให้แก่คู่ต่อสู้

บทที่ 10 ช่องโหว่เล็กๆ น้อยๆ

เมื่อถูกฝ่ายตรงข้ามจับกินเม็ดหมากอย่างต่อเนื่องก็ไม่ควรร้อนใจ การเลือกตัดสินใจที่จะสละหมากหรือไม่นั้น ให้พิจารณาจากรูปเกมที่จะบังเกิดขึ้นในตาเดินต่อๆ ไป

สิ่งที่ควรทำเมื่อต้องการจะขยายอิทธิพลออกมานอกเขตพื้นที่ของตน คือการโจมตีหมากที่อยู่โดดๆ ของคู่ต่อสู้

การบุกโจมตีด้านขวา ควรทำหลังการบุกโจมตีด้านซ้ายเป็นผลแล้ว สำหรับหมากที่กำลังย่ำแย่นั้นควรเสริมให้แข็งแกร่งก่อน จากนั้นจึงค่อยเริ่มบุกโจมตีอย่างช้าๆ แต่หมากที่ยากต่อการต่อรองก็ควรจะปล่อยมันทิ้งไป

การวางหมากแบบอ่อนข้อให้จะเกิดขึ้นหลังจากที่โจมตีฐานที่มั่นของฝ่ายตรงข้ามแตกกระจายได้เป็นผลสำเร็จ ส่วนหมากที่อีกฝ่ายอ่อนข้อให้ก็ไม่ควรทำการโจมตีในทันที

การบุกโจมตีที่มีเป้าหมายที่แน่นอน ควรกระทำเมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถรับมือได้เท่านั้น

บทที่ 11 ชื่อกระบวนท่าต่างๆ ในหมากล้อม

การเข้าใจศัพท์ทางเทคนิค หรือชื่อกระบวนท่าหลักๆ ในหมากล้อมจะช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ของเกมได้สะดวกยิ่งขึ้น ศัพท์เทคนิคหลักๆ ที่ใช้ในหมากล้อมนั้น ได้แก่

แทง กระโดดหนึ่งเข้ากลางกระดาน
ตาม้า ใช้หัวกระแทก เชื่อม
ต่อหมาก ทแยง ยืน
โดดหนึ่งด้านข้าง สกัดจุด หนีบ
ตัด ดักด้วยตาข่าย ไล่ล่าเป็นขั้นบันได
โคะ ฆ่า กรอกยาพิษ เป็นต้น

ไม่มีอะไรน่าแคลงใจกับชื่อท่าต่างๆ ในหมากล้อม เพราะสรรพสิ่งต่างๆ ล้วนมีชื่อเรียกของมัน

บทที่ 12 ระดับฝีมือในหมากล้อม

ระดับฝีมือในหมากล้อมสามารถแบ่งออกได้เป็น 9 ระดับจากต่ำไปสูงดังต่อไปนี้

ระดับที่ 1 "ยังด้อยความคิด"

นักหมากล้อมในกลุ่มนี้ยังไม่ค่อยมีฝีมือนัก ยังต้องเลียนแบบกลยุทธ์การวางหมากของผู้อื่นอยู่ ยังไม่มีข้อคิดเป็นของตนเอง ก็ยังจัดว่ามีฝีมือดีกว่าผู้ที่เพิ่งเรียนหมากล้อมเบื้องต้น

ระดับที่ 2 "ยังขาดประสิทธิภาพ"

นักหมากล้อมในระดับนี้ถือว่ามีความสามารถพอตัว แต่ผู้เล่นในระดับนี้บางครั้งยังปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามจับเม็ดหมากไปถึงห้าเม็ด ถือเป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง เพราะทำให้โอกาสที่จะไขว่คว้าชัยชนะค่อนข้างเลือนราง

ระดับที่ 3 "ยังใช้กำลังเข้าปะทะ"

ผู้ที่มีฝีมือในระดับนี้ มักจะไม่วางแผนลึกซึ้ง เน้นหนักไปที่การบุกโจมตีคู่ต่อสู้เท่านั้น

ระดับที่ 4 "มีไหวพริบ"

ผู้ที่มีฝีมือในระดับนี้ แม้ยังไม่สามารถอ่านเกมทั้งกระดานได้ แต่ก็รู้วิธีขยายพื้นที่ในหมากกลุ่มต่างๆ แล้ว

ระดับที่ 5 "ใช้สติปัญญา"

ผู้ที่มีฝีมือในระดับนี้ แม้จะยังไม่เข้าถึงหลักการเล่นหมากล้อมอย่างถ่องแท้ แต่ในขณะแข่งขันก็ยังสามารถคาดการณ์ถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามรูปเกมได้

ระดับที่ 6 "จับแก่นแท้ของหมากล้อมได้แล้ว"
ผู้ที่มีฝีมือระดับนี้ เป็นผู้รู้เกี่ยวกับข้อคิดต่างๆ ในการเล่นหมากล้อมอย่างเข้าถึงแก่นแท้ได้แล้ว
ระดับที่ 7 "มีฝีมือสูง"

ผู้ที่มีฝีมือระดับนี้ถือว่าอ่านเกม และวางแผนถี่ถ้วน รัดกุม ไม่มีข้อบกพร่องได้แล้ว

ระดับที่ 8 "เซียนหมากล้อม"

เป็นผู้ที่มีฝีมือในระดับเซียน หรือระดับยอดฝีมือที่สามารถมองสถานการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

ระดับที่ 9 "เทพเจ้าหมากล้อม"

เป็นผู้ที่มีฝีมือระดับสูงสุด รู้กระจ่างทุกอย่าง ดุจการวางหมากของเทพเจ้าแห่งหมากล้อม (หัตถเทวะ)

บทที่ 13 สัพเพเหระ

ปัญหาต่างๆ ต้องพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงระหว่างเกมแข่งขัน ไม่ควรคิดหักโหมในหมากใดหมากหนึ่งจนเกินไปนัก มิฉะนั้นจะทำให้เหนื่อยล้า เป็นผลเสียต่อสุขภาพ และส่งผลต่อการเล่น

ควรหมั่นฝึกฝีมืออย่างสม่ำเสมอ เพราะการห่างหายจากการเล่นไปนานจะทำให้ไม่คุ้นมือ และเป็นเหตุนำไปสู่ความพ่ายแพ้ได้

ฝ่ายชนะไม่ควรคุยโว ฝ่ายพ่ายแพ้ก็ไม่ควรออกอาการและแสดงสีหน้า การยกย่อง และรู้จักแพ้ชนะ เป็นคุณสมบัติของผู้มีการศึกษา ผู้ที่มีความสามารถในระดับสูงไม่ควรจะยกตนข่มท่าน ส่วนผู้ที่ด้อยความสามารถก็ไม่ควรจะดูถูกตัวเองจนเกินไป

ควรจะรักษาระดับจิตใจให้สงบและนิ่ง ผู้ที่มีความนิ่งมักจะเป็นฝ่ายกำชัยเสมอ

ผู้ที่มีฝีมือสูง วัดกันที่ แม้จะไม่ได้เป็นฝ่ายบุกโจมตี แต่กลับตั้งตนอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบกว่าได้

เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบก็ไม่ควรลำพองตน มิฉะนั้นสถานการณ์อาจพลิกผันได้ เพราะ ผู้ที่หยิ่งทะนงมักจะพบกับความพ่ายแพ้ ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็มีให้เห็น

ผู้ที่มีปัญญานั้น แม้ในยามปลอดภัยก็ไม่ประมาท ในขณะที่ทุกอย่างราบรื่น ก็ยังคงมีความระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา



รวมแล้วพอสรุป จากได้ว่า....

เกมหมากล้อมมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนกลยุทธ์มากมายขนาดนี้ ก็เพราะว่าการเล่นหมากล้อม ทำให้ผู้เล่นต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ดังต่อไปนี้เสมอ กล่าวคือ

(1) เราจะใช้ทรัพยากรและเวลาที่มีอยู่จำกัดของเราไปบรรลุเป้าหมายของเราได้อย่างไร

(2) เราจะบรรลุทั้งความยืดหยุ่น และความมีใจจดจ่อในการทำศึกไปพร้อมๆ กันได้อย่างไร

(3) เราจะประเมินสถานการณ์แยกแยะผลได้ผลเสียของแนวทางต่างๆ ที่มีให้เลือกได้หลายทางได้อย่างไร

(4) การริเริ่มในโครงการไหนที่ควรสานต่อ และโครงการไหนที่ควรหันกลับมาทบทวนว่าควรถอนออกหรือไม่

(5) เมื่อไหร่ถึงควรจะบุกลุยไปข้างหน้า และเมื่อไหร่ควรจะอดกลั้นรอคอยจังหวะโจมตี

(6) เมื่อไหร่ควรเป็นฝ่ายนำเกม และเมื่อไหร่ควรแค่เกาะตามสถานการณ์ไปก่อน

(7) เราจะรุกเข้าไปอย่างไรในสถานการณ์ที่ฝ่ายตรงข้ามมีอิทธิพลเข้มแข็ง

( ถ้าคู่แข่งของเขาเป็นฝ่ายบุกรุกเข้ามาในเขตอิทธิพลของเรา ฝ่ายเราควรจะรับมืออย่างไรดี

(9) ถ้าเรามีจุดแข็งในสินค้าบางตัว และก็มีจุดอ่อนในสินค้าอีกกลุ่มหนึ่ง เราจะจัดสรรทรัพยากรของเราอย่างไรดีให้เหมาะสม เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนของกลุ่มธุรกิจของเราโดยรวม

(10) เมื่อไหร่ที่เราควร "เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต" และเมื่อไหร่ที่เราควรกล้าลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เพื่ออนาคต

(11) เมื่อสถานการณ์ผันแปรไปอย่างรวดเร็ว เราจะมีแผนปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสมได้อย่างไร

เกมหมากล้อมเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมมากในการที่จะสอนเราว่า เราจะชนะได้อย่างไรในสถานการณ์ที่เราไม่มีความได้เปรียบใดๆ เลย นอกจากความสามารถในการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีกลยุทธ์เท่านั้น แล้วถ้าเปรียบกับ เกมหมากรุกฝรั่ง (chess) เล่า เกมหมากรุกฝรั่งสามารถทดแทนเกมหมากล้อมในการช่วยฝึกฝนเรื่องกลยุทธ์ให้แก่เราได้หรือไม่?

เกมหมากรุกฝรั่ง ซึ่งเป็น เกมของเหล่าพระราชา (the game of kings) (ในขณะที่เกมหมากล้อมเป็น เกมของเหล่าอัจฉริยะ) ก็เป็นเกมที่ยอดเยี่ยมมากเช่นกันในการฝึกฝนกลยุทธ์ แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์เท่าเกมหมากล้อม ความแตกต่างระหว่างเกมหมากรุกฝรั่งกับเกมหมากล้อมนั้นมีดังต่อไปนี้

(1) หมากรุกฝรั่งมี 64 ตา และ 32 ตาถูกยึดครองด้วยหมากชนิดต่างๆ ตั้งแต่เริ่มต้นเกม ขณะที่หมากล้อมมีจุดตัด 361 จุด และเริ่มต้นจากกระดานที่ว่างเปล่า หมากต่างๆ ในหมากรุกฝรั่งมีความเคลื่อนไหวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน เช่น ม้า บิสชอป เรือ ควีน คิง เบี้ย ขณะที่เม็ดหมากของหมากล้อมแค่วางลงบนจุดตัดในกระดานที่จุดไหนก็ได้อย่างเสรี (ยกเว้นจุดที่ผิดกติกา)

(2) หมากรุกฝรั่งเป็น เกมในเชิงยุทธวิธี (tactical game) ซึ่งพึ่งพาการวิเคราะห์ด้วย สมองซีกซ้าย เป็นหลัก ขณะที่หมากล้อมนอกจากจะใช้ยุทธวิธีเหมือนหมากรุกฝรั่งแล้ว ยังเน้นไปที่การใช้กลยุทธ์ (strategy) เป็นหลัก ซึ่งต้องพึ่ง ญาณทัสนะ (intuition) จาก สมองซีกขวา ของผู้เล่นเป็นสำคัญ ขณะที่เซียนหมากรุกฝรั่งระดับโลกกล้าที่จะฟันธงว่า หมากรุกฝรั่งเป็นเรื่องของยุทธวิธีถึง 99% แต่จะไม่มีเซียนหมากล้อม (โกะ) คนไหนที่กล้าฟันธงเช่นนั้นในเกมหมากล้อม

(3) ความเป็นไปได้ของเกมหมากรุกฝรั่งจะอยู่ที่ 10120 (สิบยกกำลังหนึ่งร้อยยี่สิบ) ขณะที่ความเป็นไปได้ของเกมหมากล้อมจะอยู่ที่ 10170 (สิบยกกำลังหนึ่งร้อยเจ็ดสิบ) หรือมากกว่านั้น

(4) หมากรุกฝรั่งมีสนามรบแค่สนามเดียว ซึ่งถ้าฝ่ายใดได้เปรียบในสนามนั้น อีกฝ่ายก็ยากจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้ ขณะที่ หมากล้อมมีสนามรบได้มากกว่าห้าสนามของหมากรุกฝรั่ง และต่อให้เราพ่ายแพ้ในบางสนามรบ ก็ยังสามารถชนะสงครามทั้งกระดานได้

(5) ปัจจุบันโปรแกรมคอมพิวเตอร์หมากรุกฝรั่งที่ดีที่สุดสามารถเอาชนะแชมป์โลกหมากรุกฝรั่งได้แล้ว แต่โปรแกรมคอมพิวเตอร์หมากล้อมที่ดีที่สุด ยังแค่สามารถเอาชนะนักหมากล้อมมือสมัครเล่นในฝีมือระดับกลางๆ ได้เท่านั้น

(6) มีเซียนหมากรุกฝรั่งระดับอาจารย์จำนวนไม่น้อยที่หันไปเล่นหมากล้อมแทน และกล้าประกาศว่า เกมหมากล้อมเป็นเกมที่เหนือกว่า แต่ยังไม่มีเซียนหมากล้อมระดับอาจารย์คนไหนที่หันไปเล่นหมากรุกฝรั่งแทน และกล้าประกาศว่า เกมหมากรุกฝรั่งเป็นเกมที่เหนือกว่า

(7) ขณะที่เกมหมากรุกฝรั่งเป็นเรื่องของการกินกัน กำจัดกันจนไม่เหลือฝ่ายตรงข้ามคือขุนหรือคิง ส่วนเกมหมากล้อมโดยเฉพาะเกมที่แต่ละฝ่ายมีฝีมือทัดเทียมกันจะเป็นเรื่องของการแบ่งปัน ต่างฝ่ายต่างได้พื้นที่ไปครองกันมากกว่า โดยที่ผู้ชนะคือผู้ที่ได้เปรียบพื้นที่มากกว่านิดหน่อยเท่านั้น กล่าวโดยนัยนี้ เกมหมากล้อม จึงเป็นเกมที่สามารถสู้รบแบบอหิงสาได้ หรือแค่ป้องกันตัวเองเฉยๆ อย่างเดียว ก็ยังสามารถเป็นฝ่ายชนะได้ ซึ่งถ้าเป็นเกมหมากรุกฝรั่งจะไม่มีทางทำเช่นนั้นได้

แม้จะมีความแตกต่างกันมากขนาดนี้ แต่ทั้งเกมหมากรุกฝรั่งและเกมหมากล้อม ต่างก็เป็นเกมกระดานที่น่าทึ่ง น่าหลงใหลทั้งคู่ (ผู้เขียนเองก็ชื่นชอบทั้งหมากรุกฝรั่งและหมากล้อม) เพียงแต่หมากล้อมนั้นลุ่มลึกกว่า ซับซ้อนกว่า และน่าท้าทายกว่าในเชิงกลยุทธ์เท่านั้น ทรอย แอนเดอร์สัน ผู้เขียน "วิถีแห่งโกะ" (The Way of Go) (2004) อันโด่งดังได้กล่าวว่า วิถีแห่งโกะหรือวิถีแห่งหมากล้อม ก็เฉกเช่นวิถีอื่นๆ ในศาสตร์ตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นวิถีแห่งศิลปะการต่อสู้ หรือวิถีแห่งการชงชาคือ การเดินหน้าเพื่อเข้าถึงสัจธรรมของวิชานั้น ซึ่งสำหรับ วิถีแห่งหมากล้อมแล้วคือ การมุ่งเข้าถึง "หัตถ์เทวะ" หรือการวางหมากที่สมบูรณ์แบบดุจเทพเจ้าแห่งหมากล้อมเป็นผู้วางหมากด้วยตนเอง ในสถานการณ์นั้นๆ



เซียนโกะ (Go master) ที่แท้จริงจะเดินอยู่บนวิถีแห่งหมากล้อมอย่างไม่มีวันหยุดยั้งเพื่อเข้าถึง หมากล้อมที่แท้จริง เหมือนอย่างที่มือกระบี่ที่แท้จริงย่อมเดินอยู่บนวิถีกระบี่เพื่อเข้าถึงความจริงของกระบี่อันเป็นกระบวนการแสวงหาที่ไม่มีวันสิ้นสุด เพื่อที่จะค้นพบว่า หมากล้อม หรือกระบี่มันเป็นยิ่งกว่าหมากล้อมหรือเป็นยิ่งกว่ากระบี่ แต่มันคือการเผยตัวออกมาของตัวธรรมจิต (Spirit) เอง และศิลปะทั้งหลายที่สะท้อน "ความจริง ความดี ความงาม" ของจักรวาล (Kosmos) จากแง่มุมมิติต่างๆ ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาจากภูมิปัญญาของมนุษยชาติต่างก็เป็นการเผยตัวออกมาของตัวธรรมจิตนี้ทั้งสิ้น

แก่นแท้ของภูมิปัญญาหมากล้อมนั้น อยู่ที่ ปรัชญาจักรวาล (Kosmos) ในหมากล้อม ปรัชญาจักรวาลในสายตาของเต๋านั้น มุ่งที่จะค้นหา "แนวทาง" ในความเปลี่ยนแปลง หรือศึกษาความเปลี่ยนแปลงในจักรวาฬเพื่อค้นหาหลักเกณฑ์ที่แน่นอนของความเปลี่ยนแปลง เพื่อที่จะได้ดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของจักรวาล (เต๋า) ในฐานะที่ชาวเต๋ามองว่า ร่างกายของคนเราก็เป็น "โลก" อันน้อยนิด โดยที่รอบกายของคนเราก็เป็นอีกโลกหนึ่ง การศึกษาเต๋าจึงเป็นการศึกษาหลักแห่งธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงของโลกทั้งสอง คือโลกภายในตัวเรากับโลกภายนอกตัวเรา เพื่อบูรณาการหรือหลอมรวมโลกทั้งสองนี้ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน หรือเป็นหนึ่งเดียวกับเต๋า หรือจักรวาลนั่นเอง

คัมภีร์อี้จิงของเต๋าถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อการศึกษาธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงอันนี้ โดยที่ หมากล้อมเป็นศิลปะแห่งการศึกษา หลักการของการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาโดยเหล่าอัจฉริยะแห่งเต๋าในยุคโบราณ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ที่เดินอยู่บนวิถีเต๋าหรือผู้ที่กำลังฝึกฝนตนเองตามแนวทางเต๋า สามารถหลอมรวม ปรองดองเป็นหนึ่งเดียวกับเต๋า หรือจักรวาฬได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยผ่านศาสตร์และศิลปะชั้นสูงแห่งเต๋าอย่างหมากล้อม เช่นเดียวกับมวยไท้เก๊ก และสมาธิเต๋าหรือเซน

หมากล้อม ส่งเสริม สมอง และสติปัญญาของผู้นั้นให้ปรองดอง เป็นหนึ่งเดียวกับเต๋าในระดับใจ และความคิด

มวยไท้เก๊ก ส่งเสริม กาย และลมปราณของผู้นั้นให้เคลื่อนไหว เป็นหนึ่งเดียวกับเต๋าในระดับกาย และพลังชีวิต

สมาธิเต๋า หรือเซน ส่งเสริม กาย-ใจ-ปราณของผู้นั้นให้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของผู้นั้น เพื่อ เป็นหนึ่งเดียวกับเต๋าในระดับจิตวิญญาณ



อู๋ชิงหยวน ปรมาจารย์หมากล้อมแห่งศตวรรษที่ 20 เป็นผู้ที่น่าจะถือได้ว่าเข้าถึง ปรัชญาจักรวาลในหมากล้อมนี้มากที่สุดคนหนึ่ง กิมย้งนักเขียนนิยายกำลังภายในชื่อดัง ก็เป็นผู้หนึ่งที่เลื่อมใสในอาจารย์อู๋ชิงหยวน เพราะกิมย้งเองโดยส่วนตัวก็ชอบเล่นหมากล้อมอยู่แล้ว แต่ที่ตัวเขาเลื่อมใสอาจารย์อู๋ชิงหยวนนั้น ไม่ใช่แค่เพราะพรสวรรค์อันเปี่ยมล้นของตัวอาจารย์อู๋ชิงหยวนเท่านั้น แต่เพราะ อาจารย์อู๋ชิงหยวนเป็นยอดนักหมากล้อมแห่งศตวรรษที่ 20 คนแรกที่สามารถนำเอาศิลปะแห่งเกมกีฬาอย่างหมากล้อม ที่มุ่งเน้นในการแพ้ชนะอย่างเดียวนี้ มายกระดับให้สูงส่งขึ้นถึงขั้นสุดยอดแห่งภาวะความเป็นมนุษย์แบบเต๋าได้

อาจารย์อู๋ชิงหยวน ต่างจากนักหมากล้อมฝีมือเลอเลิศทั่วไป ตรงที่นักหมากล้อมฝีมือเลอเลิศนั้น เกิดขึ้นบ่อยในทุกยุค แต่ยอดปรมาจารย์แห่งวงการหมากล้อมนานที นับเป็นหลายร้อยปีถึงจะปรากฏขึ้นสักครั้ง ความยิ่งใหญ่ของอาจารย์อู๋ชิงหยวนนั้นอยู่ที่ท่านได้นำหลักธรรมของเซนเรื่อง การประคองสภาวะของจิตอันเป็นปกติในทุกสถานการณ์ มาใช้ในเกมการแข่งขันที่ดุเดือดอย่างหมากล้อมอย่างประสบความสำเร็จ

ท่านใช้หมากล้อมเป็นศิลปะในการบ่มเพาะสภาวะจิตแบบเซน หรือสภาวะแห่ง "จิตอันเป็นปกติ" นี้ ซึ่งทำให้สำหรับตัวท่านแล้ว การเล่นหมากล้อม มิใช่เกมที่ไร้สาระ ผลาญพลังงานและผลาญเวลาไปเปล่าๆ มิหนำซ้ำยังทำให้เกิดอัตตายึดติดในผลแพ้ชนะอันเป็นโทษที่แลเห็นได้ชัดของการหมกมุ่นในหมากล้อมที่ต้องระวังให้มาก กล่าวโดยนัยนี้เราต้องถือว่า อาจารย์อู๋ชิงหยวนประสบความสำเร็จในการยกระดับการเล่นหมากล้อม การฝึกฝนหมากล้อมของท่านให้กลายเป็นวิถีธรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งเซนและเต๋า เพื่อการชำระจิตใจของตนเอง

ด้วยเหตุนี้ อาจารย์อู๋ชิงหยวนถึงกล้านำเสนอแนวคิดแบบเต๋าที่ว่าด้วย "ความปรองดองกับจักรวาล" ในหมากล้อม โดยหลักการนี้มุ่งที่จะสร้างดุลยภาพให้เกิดขึ้นในเกมการแข่งขัน เน้นการสร้างสรรค์แปลกใหม่ในแต่ละเกม เพิ่มมิติมุมมองใหม่เชิงศิลปะในเกมหมากล้อม มากกว่าการให้ความสำคัญในเรื่องผลแพ้ชนะ

"ลำพังแค่การค้นคว้าทางเทคนิคอย่างเดียว เราไม่สามารถที่จะเข้าถึงหรือบรรลุถึงสภาวะแห่ง "ตรงกลาง" นี้ได้ เพราะ "ตรงกลาง" นี้มันจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา พร้อมๆ กับหมากแต่ละหมากที่ได้วางลงไป ผู้ที่จะเข้าถึงสภาวะนี้ได้ จะต้องเป็นผู้ที่สามารถทำจิตของตนให้ใสกระจ่างดุจกระจกที่สามารถสะท้อนภูมิปัญญาอันล้ำเลิศของจักรวาลออกมาในการเดินหมากแต่ละหมากที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้"

เพราะหมากล้อมเป็นโลกที่ไร้รูปไร้ขอบเขตที่ไม่อาจควบคุมหรือจัดการได้ด้วยเทคนิคล้วนๆ หรือด้วยเทคนิคแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น วิถีของปรมาจารย์หมากล้อมอย่างอู๋ชิงหยวน จึงอยู่ที่แค่มุ่งค้นหา "ตรงกลาง" ในท่ามกลางความไร้รูปไร้ขอบเขตของหมากล้อมเท่านั้น ไม่มีอย่างใดอื่นอีก และผลพวงของการแสวงหาการค้นหานี้คือ การค้นพบหลักการหรือ หลักความจริงของหมากล้อม หรือ ประกาศิตของหมากล้อม ที่ใครก็ไม่อาจละเมิดได้ หาไม่แล้วเมื่อคนผู้นั้นได้พบกับคู่ต่อสู้ที่เข้าใจหลักความจริงของหมากล้อมนี้ได้ลึกซึ้งกว่า เขาก็จะได้รับความเจ็บปวดจากบทเรียนราคาแพงเสมอ แก่นแท้ของหลักกลยุทธ์ก็ล้วนแฝงอยู่ในหลักความจริงของหมากล้อม หรือประกาศิตของหมากล้อมนี้ทั้งสิ้น

คุณูปการที่ยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่งของอาจารย์อู๋ชิงหยวน ที่มีต่อวงการหมากล้อมสมัยใหม่ก็คือ ท่านกล้าสลัดทิ้ง "หลักความจริงแบบเก่า" ของหมากล้อมที่เชื่อกันมานับร้อยๆ ปีว่า หมากล้อมจะต้องเดินจากมุมสู่ด้านข้างสู่ตรงกลางกระดานตามลำดับนี้เสมออย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ อาจารย์อู๋ชิงหยวนในวัยหนุ่มน้อยเพียงแค่ 19 ปี ก็กล้าคิดนอกกรอบ ด้วยการนำเสนอแนวคิดใหม่เกี่ยวกับการเปิดเกมที่ไม่ยึดติดกับหลักการเดิมในอดีต แต่เริ่มจากมุมมองใหม่ที่มองว่า "หลักความจริงแบบใหม่" ของหมากล้อมก็คือ เสรีภาพที่จะเลือกวางหมากได้อย่างอิสรเสรีตรงไหนก็ได้ โดยคำนึงถึงดุลยภาพและความปรองดองของหมากทั้งกระดานเป็นสำคัญ



นี่คือการปฏิวัติทางความคิดเกี่ยวกับหมากล้อมในวงการหมากล้อมของอู๋ชิงหยวนโดยแท้ เพราะเป็นการนำเสนอว่า โลกของหมากล้อม คือจักรวาลอันไร้ขอบเขต ซึ่งเป็นมุมมองที่ไม่มีนักหมากล้อมคนไหนในญี่ปุ่นก่อนหน้านั้น กล้านำเสนอมาก่อนนับร้อยๆ ปีมาแล้ว จากความเข้าใจใหม่อันนี้ เมื่อเรามาศึกษาถึงประกาศิตต่างๆ ของหมากล้อม เพื่อประโยชน์ในการศึกษาเรื่องหลักกลยุทธ์ เราจะได้ บทเรียนเชิงกลยุทธ์จากหลักความจริงของหมากล้อม ต่างๆ ดังต่อไปนี้

(1) อย่าเดินหมากครึ่งๆ กลางๆ

(2) อย่าทำร้ายหมากของตนเอง หากจำต้องสละหมากบางส่วน ก็เพื่อที่จะได้ผลประโยชน์ในทางอื่นตอบแทนกลับคืนมาเสนอ

(3) อย่าหมกมุ่นอยู่กับการสู้รบ จนกลายเป็นสู้เพื่อที่จะสู้เท่านั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงผลได้ผลเสียในแต่ละสนามรบเลย การสู้อย่างหัวชนฝา อย่างตาบอดเช่นนี้ จะนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ในสงครามเท่านั้น

(4) จงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเกมที่ตัวเองเล่น จนกระทั่ง ความหมายของเกมนั้นในขณะนั้นคือ โลกทั้งหมดของผู้เล่นคนนั้นในขณะนั้น

(5) ผู้ที่ไม่สามารถเคลื่อย้าย สลับปรับเปลี่ยนมุมมองในระดับภาพรวมกับในระดับเฉพาะส่วน ได้อย่างดังใจ ย่อมพ่ายแพ้ต่อผู้ที่สามารถทำเช่นนั้นได้ ในขณะดำเนินกลยุทธ์เสมอ

(6) หนึ่งหมากคือหนึ่งโอกาสเสมอ ในกระดานที่หมากเริ่มถูกถมเต็มยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โอกาสที่หมากๆ หนึ่งจะส่งผลสะเทือนต่อสถานการณ์โดยรวมก็จะยิ่งลดน้อยลงตามลำดับ

(7) ทั้งในหมากล้อมและในชีวิตจริง ความได้เปรียบจากการเป็น "มือนำ" จะดำรงอยู่เสมอ

( อย่าเดินหมากที่ช่วยให้ฝ่ายตรงข้ามสามารถเล่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ

(9) อย่าเล่นหมากช่วงปิดเกมก่อนช่วงกลางเกม และอย่าเล่นหมากช่วงกลางเกมก่อนช่วงเปิดเกม เราต้องเล่นหมากที่เหมาะสมกับขั้นตอนที่เรากำลังอยู่ในเกม

(10) ชัยชนะในหมากล้อมจะมีกับผู้ที่เคารพความจริงที่ว่า เราไม่สามารถรู้ความเป็นไปได้ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นในเกม เราจึงต้องยอมรับความไม่แน่นอนนี้ และปรับตัวให้เข้ากับความไม่แน่นอนหรือความเปลี่ยนแปลงนี้ให้ดีที่สุด โดยที่ชัยชนะเป็นเพียงผลพลอยได้ของการปรับตัวนี้เท่านั้น

(11) อย่ายึดติดกับแผนการที่วางไว้ก่อนหน้านั้น แผนการมีไว้ยกเลิก

(12) ต้องคิดใหม่ และคิดใหม่อยู่เรื่อยๆ เพราะทุกเกมในหมากล้อมเป็นเกมใหม่สดที่ไม่เคยซ้ำรอยเลย และชีวิตก็เช่นกัน

(13) หมากที่วางลงไปแล้วขยับไม่ได้ ต่อให้เดินพลาด เดินไม่ดีไปแล้ว ก็ต้องยอมรับหมากที่ตัวเราได้เล่นไปแล้ว

(14) จงเดินหมากที่ให้ประโยชน์ได้หลายทาง

(15) เราไม่มีทางรู้จิตใจของคู่ต่อสู้ โดยดูแค่หมากของเขาเท่านั้น

(16) รูรั่วเล็กๆ อาจกลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่ได้ ต้องเอาใจใส่ แม้แต่จุดอ่อนเล็กๆ น้อยๆ ในกลุ่มหมากของตน เกมทั้งเองอาจพลิกคว่ำพ่ายแพ้ได้ ถ้าผู้เล่นสนใจแต่ภาพใหญ่เท่านั้น โดยขาดความละเอียดรอบคอบในเรื่องเล็กๆ งานด่วนจึงต้องมาก่อนงานใหญ่เสมอ

(17) จงเดินหมากอย่างลื่นไหล ไม่หนักไป ไม่อ่อนไป ไม่แน่นไป ไม่หลวมไป

(1 โจมตีไม่ใช่เพื่อฆ่า แต่โจมตีเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์

(19) วิถีของหมากล้อมคือ การแสวงหาหมากที่ดีที่สุดอย่างไม่มีวันจบสิ้น และพยายาม "ก้าวข้าม" หลักความจริงแบบเก่าเสมอ

ภูมิปัญญาหมากล้อมเพื่อการเข้าถึงแก่นแท้ของกลยุทธ์นั้น มีอย่างอุดมสมบูรณ์ยิ่งเท่าที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น เป็นแค่บางส่วนเท่านั้น

สุดท้ายแล้วผู้นั้นก็ต้องกระโดดเข้ามาศึกษาด้วยตนเอง เพื่อเข้าถึงด้วยตนเอง ภูมิปัญญาแห่งกลยุทธ์จากหมากล้อม จึงจะกลายเป็นของคนผู้นั้นได้

บทความตัดตอนจาก
http://www.suvinai-dragon.com
http://www.geocities.com/geogoclub

ภาพประกอบ
http://www.kiseido.com/printss


ปิดท้ายด้วย หนึ่งในสุภาษิตเตือนใจจากโกะ

จุดตาย คือจุดที่ต้องแย่งยึด

ถ้าคุณยึดจุดตายคู่ต่อสู้ได้ คู่ต่อสู้จะลำบาก ...ถ้าคุณปิดจุดตายตัวเองได้ คุณจะไร้จุดอ่อน

วันพุธ, พฤษภาคม 07, 2551

First kyu ( chapter 9)

ตอนที่ 9 หมากกระดานโลหิต เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ปีค.ศ.1835 ในห้องอันสงบ ณ.ปราสาทของไดเมียว มัตสึไดระ มีนักโกะสองคนนั่งเผชิญหน้ากัน คนที่นั่งหันหน้าไปสู่สวนนั่นก็คือ โจวะ เมย์จิน, 9 ดั้ง เจ้าสำนักฮงอินโบ ซึ่งขณะนั้นอายุ 48 ปี ส่วนคู่ต่อสู้ที่นั่งฝั่งตรงข้ามกระดานโกะนั้น ก็คืออาคาโบชิ อินเท็ตสึ, 7 ดั้ง อายุเพียง 26 ปีซึ่งเป็นผู้สืบทอดสำนักอิโนอุเอะ ในการแข่งครั้งนี้ฝ่ายเมย์จินต่อให้ 1 เม็ด อันหมายถึงอินเท็ตสึ จะเป็นฝ่ายเล่นดำ โดยไม่มีโคมิให้กับขาว เมื่อเริ่มการแข่งขัน ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายต่างก็หลับตาลงสงบนิ่ง เพื่อทำสมาธิให้สมองปลอดโปร่ง แต่ทว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ยากที่จะขจัดออกจากจิตใจของคนทั้งสองได้ สำหรับ โจวะ เมย์จินแล้ว การแข่งครั้งนี้เป็นการแข่งที่เขาไม่สามารถพ่ายแพ้ได้ ด้วยหัวโขนที่ถูกสวมใส่ในตำแหน่ง ?เมย์จิน? อันหมายถึงผู้ที่มีฝีมือเป็นเลิศที่สุดในปฐพี โจวะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะครอบครองตำแหน่งสำคัญนี้ไว้ให้นานที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเสื่อมเสียแค่ไหน ขอเพียงให้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ก็เป็นพอ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้โจวะ จะตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว การที่ต้องแข่งกับอินเท็ตสึ ได้สร้างความลำบากใจให้กับเขา ด้วยเหตุที่สองคนนี้เคยประมือกันมาแล้วสองครั้ง และอินเท็ตสึเป็นฝ่ายชนะทั้งสองครั้งเช่นกัน การศึกครั้งนี้เป็นการข่มขู่โดยตรงจากเก็นอัน อินเซคิผู้เป็นอาจารย์ของอินเท็ตสึ ที่เป็นการทดสอบฝีมือระดับเมย์จิน ถ้าหากว่าโจวะพ่ายแพ้ในครั้งนี้แล้วจะยังสามารถยึดกับตำแหน่งนี้ได้อีกต่อไปหรือไม่ อินเซคิ ผู้ซึ่งจริงๆแล้วก็คือบันไดที่โจวะใช้ก้าวข้ามไปสู่ตำแหน่งเมย์จิน ตำแหน่งที่สร้างศัตรูใหม่ขึ้นมามากพอกับคนรัก โจวะรู้ดีว่าฝีมือของอินเซคินั้นยอดเยี่ยมพอกันกับเขา เขาจึงพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ยอมเผชิญหน้าแข่งขันกันตัวต่อตัวในตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา โจวะไม่สามารถเสี่ยงกับความพ่ายแพ้ที่อาจเกิดขึ้นได้ อันเป็นผลให้ต้องสูญเสียตำแหน่งเมย์จิน แต่ครั้งนี้โจวะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป เพราะผู้จัดการแข่งขันคือไดเมียว มัตสึไดระ ผู้ทรงอิทธิพลที่โจวะไม่กล้าปฏิเสธคำขอ ดังนั้นโจวะจำต้องใช้พยายามให้ถึงที่สุดเพื่อที่จะคว้าเอาชัยชนะมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรแค่ไหนก็ตาม ทางฝั่งตรงข้ามของกระดาน อินเท็ตสึนั้นก็มีเหตุผลที่จะต้องชนะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโจวะเช่นกัน ถ้าหากว่าเขาสามารถชนะการแข่งขันครั้งนี้ ก็จะเปิดทางให้กับอาจารย์ของเขาได้เข้าแข่งชิงตำแหน่งเมย์จินกับโจวะได้ ซึ่งก็เป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้อาจารย์ของตนได้เป็นเมย์จิน อินเซคินั้นได้เลี้ยงดูอินเท็ตสึมาตั้งแต่เล็กๆ ดูแลให้ความรักราวกับลูกในไส้ของตัวเอง เขาถ่ายทอดความรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโกะให้กับศิษย์เอกคนนี้ เพื่อให้ลูกศิษย์คนนี้แข็งแกร่งพอที่จะแก้แค้นให้กับอาจารย์ ตอนนี้โอกาสอันดีได้มาถึง มันเป็นโอกาสที่อินเท็ตสึจะได้ตอบแทนบุญคุณให้กับอาจารย์ผู้มีพระคุณ หมากกระดานที่จะแข่งครั้งนี้นั้น แตกต่างไปจากสองกระดานแรกที่ทั้งคู่เคยได้ประมือกัน เนื่องจากว่าครั้งนี้เป็นการแข่งขันอย่างเป็นทางการซึ่งจัดการแข่งขันโดยไดเมียวผู้ทรงอิทธิพล รวมถึงการมีตัวแทนรับรู้จากสำนักโกะ 4 สำนักใหญ่ อันที่จะสามารถสั่นคลอนตำแหน่งเมย์จินของโจวะได้ อินเท็ตสึเองนั้นก็รู้ดีว่าโกะของโจวะนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน อาจารย์ของเขาได้เตือนเขาอยู่เสมอๆ ตัวอินเท็ตสึเองนั้นก็ได้เรียงหมากของโจวะอยู่หลายครา ทุกครั้งที่เรียงหมากก็จะเห็นพลังฝีมือของโจวะอยู่เหนือคู่แข่งเสมอๆ อย่างไรก็ตามการแข่งครั้งนี้เขาจะต้องชนะ เพื่ออาจารย์ของเขา และเกียรติยศของสำนักอิโนอุเอะ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม อินเท็ตสึ ลืมตาจากสมาธิแล้ววางหมากดำเม็ดแรกอย่างนิ่มนวลลงบนมุมกระดานซ้ายล่างของโจวะ โจวะตอบกลับด้วยการวางหมากขาวอย่างแรงที่มุมขวาล่างของตน เกมแห่งศตวรรษได้เริ่มขึ้น หมากจำนวน 49 ตาได้วางลงเสร็จสิ้นไปในวันแรก จากนั้นก็เป็นช่วงพักการแข่งขันสองวัน หมากตาลับสุดยอดของสำนักอิโนอุเอะ ที่เตรียมไว้ลับมือกับโจวะโดยเฉพาะได้ถูกนำมาใช้ที่มุมซ้ายล่างของกระดาน อันสร้างความปั่นป่วนให้กับโจวะไม่ใช่น้อย ผลทำให้ในวันแรกตำแหน่งของหมากดำดูได้เปรียบขาวอย่างเห็นได้ชัด โจวะรู้ดีว่าตัวเองตกอยู่ที่นั่งลำบาก เขารวบรวมลูกศิษย์ลูกหาทั่วสำนักเพื่อมาศึกษาหาวิธีตอบโต้ แต่ทว่าก็ไม่มีผล ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงดำมืดอยู่เช่นเดิม จนกระทั่งล่วงมาถึงคืนที่สอง โจวะยังคงนั่งเงียบอยู่ข้างกระดานโกะไม่ห่าง คอยหาหมากตาดีๆที่จะตอบโต้ จนแล้วจนรอดก็ยังหาไม่เจอ จนกระทั่งสุดท้ายโจวะก็ล้มหมดสติไป บรรดาลูกศิษย์ลูกหาในสำนักต่างก็เป็นห่วง และนั่งดูแลอยู่รอบๆขณะที่โจวะหมดสติ จนกระทั่งเมื่อโจวะลืมตาขึ้นเขาก็เริ่มเอ่ยปากพูด ?ฉันเห็นแล้ว!เห็นแล้ว! ในที่สุดฉันก็รู้แล้ว? หลังจากนั้นต่อมามีเรื่องลือกันว่า ขณะที่โจวะหมดสติได้มีปีศาจมาเข้าฝัน และแสดงหมากตานี้ให้โจวะดู ทางฝ่ายอินเท็ตสึ ก็ใช้เวลาพักสองวันอยู่คนเดียวบนเรือแจวในแม่น้ำเพื่อนั่งสมาธิ เขารู้สึกได้ถึงหนทางแห่งชัยชนะที่ยังอยู่อีกไกล การรั้งตำแหน่งบนกระดานให้ดีตลอดไปจนจบกระดานนั้น มันช่างเป็นงานที่หนักหนาสาหัสอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เขากำลังแข่งด้วยคือ โจวะ เมย์จิน การแข่งขันดำเนินต่อไปในวันที่ 21 กรกฎาคม วันนั้นเล่นกันต่อไปอีก 40 ตา แล้วก็หยุดพักต่ออีกสองวัน ในวันนั้นโจวะได้วางหมากอย่างยอดเยี่ยม 3 ตาที่ไม่มีผู้ใดกล้าออกมาค้าน ด้วยหมาก 3 ตานี้เองที่ทำให้เกมนี้เปลี่ยนเป็นโจวะกลับมาได้เปรียบ (มีต่อ...) วันที่สาม 24 กรกฎาคม ก็ได้เห็นชัยชนะของโจวะอยู่ไม่ไกลจากตำแหน่งของหมากบนกระดาน ณ.หมากตาที่ 172 และด้วยเหตุที่กติกาสมัยนั้นให้โอกาสแก่ผู้ที่เก่งกว่าเป็นผู้ที่จะกำหนดว่าจะหยุดเล่นเมื่อใด ก่อนที่จะพัก ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่จะวางหมากตาสุดท้ายของแต่ละวันก็คือ ผู้เล่นฝ่ายดำ อันเป็นการช่วยให้ขาวได้มีโอกาสหาวิธีเอาชนะได้ในระหว่างพัก การแข่งขันครั้งนี้ได้กำหนดให้แข่งกันให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 4 วัน ซึ่งหลังจากพักสองวันจากนี้ก็จะเป็นวันชี้ชะตา ในช่วงพักคราวนี้ โจวะได้จัดงานฉลองใหญ่โตกับพวกลูกศิษย์ เพราะเขามีความมั่นใจในชัยชนะอย่างแน่นอน ส่วนทางฝ่ายอินเท็ตสึ ก็ยังคงนั่งสมาธิอยู่ต่อไปบนเรือแจวลำน้อยของเขาอย่างไม่มีความรู้สึกใดๆ การแข่งขันวันสุดท้ายมาถึง วันที่ 27 กรกฎาคม ทั้งคู่จะต้องจบการแข่งขันในวันนี้แล้วโดยไม่มีพักแข่งอีกต่อไป อินเท็ตสึก็ยังคงเล่นต่อไป ปฎิเสธที่จะยอมแพ้ ถึงแม้ว่าตำแหน่งบนกระดานแทบจะหาโอกาสที่จะตีตื้นเอาชนะขาวได้ก็ตามแต่ อินเท็ตสึก็พยายามยืดเยื้อหาโอกาสที่จะตีโต้กลับมาเป็นฝ่ายชนะให้ได้ ถึงแม้มันจะมีน้อยนิดก็ตาม หมากอีก 72 ตาได้ถูกวางต่อไปบนกระดาน สิบชั่วโมงคือเวลาที่หมดไปแล้วในวันนี้ ในที่สุดตำแหน่งบนกระดานก็ไม่มีที่ว่างพอที่จะให้ดำทำอะไรได้อีกต่อไป อินเท็ตสึยอมแพ้หลังจากที่ขาววางหมากตาที่ 246 โจวะเป็นฝ่ายชนะ หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ทำการแลกโถหมากกันตามธรรมเนียม และเริ่มเก็บเม็ดหมากกลับเข้าโถ โดยที่ไม่มีใครคาดคิด อินเท็ตสึได้ล้มลงแล้วกระอักเลือดลงบนกระดานโกะ ด้วยความเหนื่อยล้าจากการทุ่มเทพลังทั้งหมดให้กับการแข่งในครั้งนี้ จนร่างกายไม่สามารถทนทานได้ จากนั้นอาการของอินเท็ตสึก็ไม่สามารถฟื้นคืนขึ้นมาได้อีก เกือบสองเดือนต่อมาเขาก็เสียชีวิต . วันใดที่ฉันหม่นหมอง เป็นทุกข์ ฉันจะเรียงหมากกระดานนี้ของอินเท็ตสึ หมากที่หมดพลังจากการต่อสู้กับฝ่ายที่ได้รับการชี้แนะจากปีศาจ หมากของอินเท็ตสึบนกระดานนั้นก็ยังคงถอนใจเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในหน้าร้อนของปี 1835 อยู่เช่นเดิม... จบตอน

วันอังคาร, พฤษภาคม 06, 2551

ก้าวแรกสู่ shdan ( นิยายหมากล้อมเรื่อง First kyu )

ตอนที่ 1 "เซียนเฒ่า" จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับตำนาน ความฝันตั้งแต่คนรุ่นปู่ที่ตกทอดลงมาถึงคนรุ่นหลานโดยไม่ตั้งใจ สมัยที่เกาหลียังไม่มีความทัดเทียมในเชิงหมากเทียบเท่ากับจีน ญี่ปุ่นได้ ฉากแรกเริ่มต้นในสมัยยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (ประมาณนั้น) ทางผู้ใหญ่ฝ่ายเกาหลีได้เชิญโปรโกะญี่ปุ่น (คิทานิ มิโนรุ) มาเทียบฝีมือกับมือหมากชั้นเซียนของเกาหลี ผลปรากฏว่าไม่มีใครสามารถสู้คิทานิได้ ถึงแม้ว่าคิทานิจะต่อให้ถึง 2 เม็ดก็ตาม ผ่านไป 2 หรือ 3 กระดาน (จำไม่ได้) ทางผู้จัดก็ขออาสาสมัครใครก็ได้เพื่อมาสู้กับคิทานิ แต่ก็ไม่มีใครกล้า จนกระทั่งชายชรา(คุณฮวอน)ผู้ผ่านฤดูหนาวมา 65 ครั้งได้เอ่ยปากตอบรับ แต่ด้วยความกลัวจะแพ้อีก ผู้จัดก็เลยขอให้คิทานิปรับหมากต่อใหม่เป็น 3 เม็ด ทางคุณฮวอนก็รู้สึกไม่พอใจ เหมือนกับโดนหมิ่นประมาท เพราะการเล่นต่อ 3 เม็ดนั้นไม่น่าจะนับว่าเป็นการแข่งขัน แต่เป็นหมากชี้แนะ ดังนั้นด้วยความโมโห จึงประกาศก้องว่าเขาจะเอาชนะคิทานิให้ดู ซึ่งอันที่จริงคุณฮวอนเองสมัยหนุ่มๆก็จัดว่าเป็นนักหมากล้อมฝีมือระดับต้นๆของเกาหลี แต่พอแก่ตัวลงก็ไปทำอาชีพนักหนังสือพิมพ์ เขียนคอลัมน์เกี่ยวกับหมากล้อม กลับมาที่กระดานต่อ... ในช่วงต้นเกมไปถึงกลางเกมหมากบนกระดานเห็นได้ชัดว่าคุณฮวอนได้เปรียบเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะเล่นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวก็ตาม แต่ทว่าทางโปรคิทานิเองก็ไม่ได้ย่อท้อแต่อย่างใด เล่นอย่างอารมณ์เย็น ตาก็คอยสอดส่องหาจุดอ่อนที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์ ค่อยๆทำคะแนนตีตื้นขึ้นมาเรื่อยๆ ส่วนทางฝ่ายคุณฮวอนนั้นเล่า ด้วยความที่มีน้ำโหเป็นที่ตั้ง การวางหมากเลยไม่ใช้เวลาครุ่นคิดนานเท่ากับฝ่ายคิทานิ ครั้นมาถึงช่วงปิดเกม คิทานิได้สร้างโคะขึ้นมากลุ่มหนึ่งเพื่อสู้โคะกัน ผลปรากฏว่าคุณฮวอนอ่านหมากพลาด ไม่ตอบรับการขู่ของหมากขาว เพื่อที่จะเอาชนะโคะ และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หมากเม็ดที่คิทานิขู่ไปนั้น กลายเป็นหมากที่เจตนาสังหารกลุ่มหมากดำกลุ่มใหญ่กลางกระดาน ในที่สุดด้วยความสะเพร่าเล่นด้วยอารมณ์ไม่คงที่ ทำให้คุณฮวอนจำต้องยอมแพ้ไปในช่วงปลายกระดานอย่างที่ไม่น่าแพ้ จากความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ คุณฮวอนรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก แล้วก็หลบออกจากบ้านของผู้จัดไปอย่างเงียบๆ เมื่อถึงบ้านตนเองก็กระอักเลือดล้มลงตรงประตูบ้าน และไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก ต้องถูกนำส่งเข้าโรงพยาบาลหลังจากนั้นไม่ถึง 3 เดือน คุณฮวอนก็จบชีวิตลงด้วยความแค้นที่ยังฝังอยู่ในใจ.... .......จบบทแรก........


ตอนที่ 2 "นักเลงพนัน" หลังจากจบตอนแรกไป ตอนถัดมาก็ตัดฉับมาที่ชายหนุ่มผู้หนึ่งนักเลงหมากล้อม ผู้ซึ่งหากินจากการเล่นพนันแข่งขันหมากล้อมกับพวกมือสมัครเล่นทั่วไป หลังจากตรากตรำแข่งโกะหากินจนไม่ได้หลับได้นอนมาหนึ่งคืนเต็มๆ ซึ่งมันก็คุ้มค่าสำหรับเงินปึกใหญ่ในกระเป๋าของเขา สำหรับตอนนี้ก็ไม่ได้บรรยายอะไรมากไปกว่าบรรยายความคิดความรู้สึกของหนุ่มคนนี้ ซึ่งก็เป็นตัวเอกของเรื่องนั่นเอง จนกระทั่งเขาเดินไปถึงโรงนวดขาประจำอันเป็นเหมือนกิจวัตรประจำหลังแข่งของเขาเพื่อผ่อนคลายความเครียด เมื่ออาบน้ำอาบท่าขึ้นไปทอดกายอยู่บนเตียงแล้วเขาก็ผลอยหลับไปพร้อมๆ กับได้ยินเสียงนักศึกษาด้านนอกกำลังก่อกลุ่มประท้วงรัฐบาลอยู่ในขณะนั้น... แล้วเรื่องก็ตัดฉับไปตอนถัดไป ลักษณะการเล่าเรื่องของเรื่องนี้ 2 ตอนแรกดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกี่ยวพันกันเลย แต่ทว่าต้องรออ่านไปสักพักแล้วจะรู้ว่ามันสัมพันธ์กันอย่างไร....เฮ้อ...เหนื่อย ตอนที่ 3 ?เมื่อหินหล่นลงสู่ผืนน้ำอันสงบ? จากตอนที่แล้วที่กล่าวถึงชายหนุ่มคนนั้น จริงๆแล้วเขามีชื่อว่า ยังวุค ฮวอน (เราจะเรียกสั้นๆว่า ?วุค?) ซึ่งก็ได้หลับไปจากความอ่อนเพลียในตอนนั้น พลันเรื่องก็ตัดมาเล่าถึงพื้นเพของเขาว่าเป็นอย่างไร ประวัติของวุคนั้น เกิดในช่วงฤดูหนาวของปี 1950 (50 กว่าปีก่อน) อันเป็นช่วงของสงครามเกาหลี ที่ลือกันว่าจีนจะมาช่วยเกาหลีเหนือบุกรุกเกาหลีใต้ ช่วงเวลานั้นก็เรียกได้ว่าบ้านเมืองสับสนวุ่นวาย ชาวบ้านเดือดร้อนกันไปถ้วนหน้าจากปัญหาข้าวยากหมากแพง แต่กระนั้นก็ตามครอบครัวของวุคก็อยู่รอดมาได้อย่างไม่เดือดร้อน เนื่องจากว่าพ่อของวุค หรือคุณฮวอนนั้นเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจ สามารถประคองตัวเอาตัวรอดมาจากเหตุการณ์นั้นได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้ครอบครัวของวุคจึงมีลักษณะเป็นเผด็จการหน่อยๆ คือตัวพ่อจะเป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาด บังคับให้ทำอะไรก็ต้องทำ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วก็มุ่งหวังไปในทางที่ดีทั้งสิ้น นอกจากตัววุคเองแล้ว เขาก็ยังมีพี่ชาย 2 คนและพี่สาวอีก 2 คน และตัวของวุคเองก็เป็นลูกคนสุดท้อง ซึ่งแน่นอนที่สุด ลูกคนสุดท้องมักจะถูกให้ความรักและความหวังมากเป็นพิเศษกว่าลูกคนอื่นๆ สังคมเกาหลีตอนนั้นก็คล้ายๆกับเมืองไทยอยู่อย่างก็คือ เรื่องของความรักสี รักพวก อันได้แก่การที่ได้อยู่โรงเรียนหรือมหาลัยฯ ที่มีชื่อก็จะเป็นเกียรติต่อวงศ์ตระกูลอะไรทำนองนั้น ซึ่งแน่นอนว่าคุณฮวอน พ่อของวุคก็จัดอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้เช่นกัน ช่วงเวลานั้นโรงเรียนเตรียมอุดมฯที่มีชื่อเสียงที่สุด มีชื่อว่า ?โรงเรียน K? และมหาลัยที่มีชื่อที่สุดก็คือ ?มหาวิทยาลัย S? (อันนี้ผู้เขียนคงจะไม่อยากเอ่ยชื่อจริงๆของสถาบันทั้งสองแห่งนี้) คนที่เรียนจบจากโรงเรียน K ก็จะสอบเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย S และทั้งพ่อแม่พี่น้องของวุคทั้งหมดก็ผ่าน โรงเรียนและมหาลัยฯ แห่งนี้มาแล้วทั้งสิ้น จนผู้คนทั่วไปขนานนามครอบครัวนี้ว่า ?ครอบครัว KS? สำหรับคุณฮวอนเองนั้น ไม่ได้คาดหวังเพียงแค่ที่ว่ามานี้ ไม่ได้คาดหวังเพียงแค่โรงเรียนที่ดี สอบได้คะแนนที่ดีเพียงอย่างเดียว แต่จะต้อง ?ดีที่สุด? ด้วยเหตุนี้ก็คงไม่ต้องบอกว่าตัววุคเองนั้นถูกกดดันมากขนาดไหน พี่ๆทุกคนต่างก็สอบเข้ามหาลัยS ได้คงเหลือแต่ตัวเขาเองที่เพิ่งจะเข้าเรียนปีแรก(ม.4)ในโรงเรียนเตรียมอุดมฯ K และถ้าหากว่าภายใน 3 ปีวุคเรียนจบมัธยม แล้วสามารถสอบเข้ามหาลัย S ได้แล้วก็คงจะเติมความฝันของพ่อให้เต็มได้ครบถ้วน จริงๆแล้วตัวของวุคเองก็เป็นเด็กที่มีความฉลาดเฉลียวไม่แพ้พวกพี่ๆเช่นเดียวกัน ดังนั้นความหวังของคุณฮวอนที่จะให้ลูกๆจบมหาวิทยาลัย S ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เราลองมานึกภาพถึงผืนน้ำอันสงบนิ่ง แวดล้อมด้วยป่าไม้อันสงบวิเวก แล้วก็มีคนนั่งชมความวิเวกนั้นอย่างสงบโดยรอบ แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีก้อนหินจากที่ไหนก็ไม่รู้ ลอยละล่องมาตกลงบนผิวน้ำ ทำลายความวิเวกออกไปอย่างสิ้นเชิง อันนี้เปรียบได้กับความฝัน ความหวังของคุณฮวอนที่ถูกสั่นคลอนอย่างแรงจากเกมหมากกระดานที่เรียกว่า ?หมากล้อม? ในช่วงปีที่วุคเกิดจนกระทั่งปลายๆของปี 80 ถึงแม้สงครามจะสงบแต่สภาพภายในเกาหลีเองก็ใช่ว่าจะสงบเรียบร้อยไปด้วย พวกเหล่านักเรียน นักศึกษาหัวรุนแรงมากมายต่างก็ประท้วงต่อต้านรัฐบาลอยู่เนืองๆ เรียกได้ว่า วุคโตมาในช่วงที่บ้านเมืองยุ่งเหยิง วุ่นวาย วันหนึ่งขณะที่วุคเดินกลับบ้านจากโรงเรียน ระหว่างทางก็มีเสียงแก๊สน้ำตาถูกยิงเข้าใส่กลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่กำลังประท้วงรัฐบาลอยู่แถบนั้นจากฝีมือของตำรวจ ฝูงนักเรียนแตกฮือวิ่งหนีกันอย่าอลม่าน ตัววุคเองก็พลอยต้องวิ่งหนีตำรวจไปกับเขาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อายุของวุคตอนนั้นแค่ 15 ปีเท่านั้น วุควิ่งๆๆๆๆ วิ่งไปอย่างไม่มีจุดหมาย เพียงเพื่อให้พ้นจากความชุลมุนที่ตรงนั้น จนกระทั่งเสียงไล่ตามสงบลง วุคก็มาหยุดหอบอยู่ ณ. ที่ที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง เขามองไปรอบๆ ไม่มีตำรวจ ไม่มีเด็กวิ่งหนีอีกแล้ว แต่ในใจก็ยังไม่คลายความหวาดระแวงอยู่ดี เขาต้องการซ่อนตัวที่ไหนสักแห่ง ครั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นป้ายอยู่ข้างหน้าความว่า ?ชมรมหมากล้อมชุงจิง? วุคไม่รอช้า รีบเดินเข้าไปในนั้นเพื่อหลบภัยทันที ในนั้น วุคเห็นคนจำนวนหนึ่งกำลังเล่นหมากล้อมอยู่ ทันใดนั้นเองความรู้สึกแปลกๆได้เกิดขึ้นกับเขา มันเป็นความรู้สึกยินดีปรีดาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับตอนที่เขาได้รับการคัดเลือกเข้าโรงเรียนเมื่อสองปีก่อน แต่ความรู้สึกอันนี้มันยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นความยินดีผนวกไปกับความตื่นเต้นอย่างบอกไมถูก แน่นอนว่าเขาเคยเห็นคนเล่นหมากล้อมมาก่อน แต่ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน กลุ่มคนที่เขาเห็นตรงหน้านี้เป็นคนละแบบกับที่เขาเคยเห็น ทันใดนั้นเขาก็นึกอยากจะเรียนวิธีเล่นเกมนี้ขึ้นมาในทันที ชายวัยกลางคน ดูเหมือนว่าจะเป็นเจ้าของร้านก็เดินตรงรี่เข้ามาทัก ? ว่าไง เธอเล่นอยู่ระดับไหนล่ะ ?? ? เอ่อ...ผมเล่นไม่เป็นอ่ะครับ? ?งั้น เธอก็คงมาตามหาคนล่ะสิ? ?เปล่า...ผมมาเพื่อเรียนวิธีเล่น? วุคแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองว่า เขาพูดตอบไปอย่างนั้นได้อย่างไร เขาจ้องไปที่ชายกลางคนผู้นั้นเหมือนกับต้องการคำตอบ ?จริงเหรอ...วิเศษไปเลย เกมนี้ถือว่าเป็นเกมที่วิเศษที่สุดที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น งั้น ฉันจะสอนเธอเล่นตอนนี้เลย? จากคำตอบที่ได้ยินทำให้วุคนึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้เป็นเวลากลับบ้าน ?ขอบคุณมากสำหรับความกรุณาครับ แต่ผมคงต้องรีบกลับบ้านแล้ว เอาไว้ผมจะมาใหม่อีกทีวันหลัง? วุครู้สึกตัวเองเป็นคนโลเล พูดกลับไปกลับมา แต่ทว่าชายกลางคนกับไม่ถือสาอะไร ?ไม่เป็นไรหรอก เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะให้ยืมหนังสือไปอ่านเองนะ ฉันเห็นคนเล่นเก่งจากโรงเรียน K หลายคนเด็กหัวดีอย่างนี้คงจะเรียนรู้ได้เร็วล่ะ? ดูเหมือนว่าชายกลางคนผู้นี้จะชอบใจในเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียน K ของวุค เขาให้หนังสือวุคยืมมา 2 เล่มด้วยกันคือหนังสือชื่อ ?ก้าวแรกสู่หมากล้อม? และ ?ทฤษฏีหมากล้อมเบื้องต้น? วุครับหนังสือมาอย่างกับเป็นสมบัติล้ำค่า แล้วก็รีบวิ่งกลับบ้านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงบ้าน วุคอ่านหนังสือ 2 เล่มนี้รวดเดียวโดย ไม่หยุด ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา วุคก็แวะที่ชมรมหมากล้อมหลังเลิกเรียนทุกวัน ในเดือนก.ค. เมื่อวันหยุดภาคฤดูร้อนเริ่มขึ้น วุคก็เลื่อนระดับขึ้นมาที่ 9 คิว ระดับฝีมือของนักเล่นหมากล้อมเกาหลีในขณะนั้น จะเริ่มต้นที่ 18 คิวไปจนกระทั่ง 1 คิว สูงไปกว่านั้นก็จะเป็นระดับอาจารย์ หรือระดับดั้ง ตั้งแต่ 1 ดั้งไปจนถึง 9 ดั้ง การไต่ไปจนถึงระดับ 1 คิวในตอนนั้นใช่ว่าคนทั่วไปทุกคนจะสามารถขึ้นไปถึงตรงนั้นได้ การเลื่อนระดับขึ้น 9 คิวในระยะเวลาแค่ 2-3 เดือนนั้นจัดว่าเป็นการก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมากแล้ว พอปิดเทอมฤดูร้อนเริ่มขึ้น วุคก็เปลี่ยนไปเล่นที่ชมรมหมากล้อมแถวๆบ้าน ที่ชื่อว่า ?ดงเอ? นักเล่นหมากล้อมหน้าใหม่ผู้นี้ก็ปรากฏกายอยู่ในชมรมรนี้ทุกๆวันในช่วงปิดเทอม ทันทีที่พ่อออกไปทำงาน วุคก็รีบเผ่นออกไปสิงอยู่ในชมรมฯ จนกระทั่งชมรมฯปิดตอน 5 ทุ่มทุกวัน ถึงแม้ว่าคุณฮวอนจะรู้ความเป็นไปก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรกับการกระทำของวุคในครั้งนี้ เขาไม่คิดว่าหมากล้อมจะเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวหรือมีอันตรายอย่างไร ซึ่งก็ยังดีกว่าปล่อยให้ลูกชายไปเที่ยวสำมะเลเทเมามั่วสุม อย่างที่พวกเด็กวัยรุ่นชอบทำกัน วุคเองก็รู้สึกโล่งกับการที่คุณฮวอนเงียบไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เต็มที่อย่างมากคุณฮวอนก็พูดแต่ว่า ?หมากล้อมนี่ มันก็เป็นเกมสำหรับพวกคนแก่ๆเขาเล่นกัน ไม่ใช่สำหรับพวกเด็กๆอย่างแกหรอก? คุณฮวอนเองตอนนี้ก็อายุ 55 ปีแล้ว ความเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ต่างๆที่เคยมี ดูเหมือนจะหย่อนยานไปตามกาลเวลาเช่นกัน พวกพี่ๆของวุคต่างก็ประหลาดใจที่พ่อปล่อยให้ลูกชายสุดโปรดวิ่งเข้าวิ่งออกชมรมหมากล้อมได้แทบทุกวัน ด้วยเหตุนี้เองทำให้วุคมีเวลาศึกษาเกมอย่างละเอียด ตลอดช่วงเวลาหยุดภาคเรียนนี้ เมื่อสิ้นสุดการปิดเทอม ระดับฝีมือของวุคก็พัฒนารุดหน้าไปจนถึงระดับ 6 คิว ซึ่งได้สร้างความฉงนสนเท่ห์ใจให้กับคนในชมรมฯเป็นอย่างมาก ถึงการพัฒนาฝีมืออย่างรวดเร็วของวุคในครั้งนี้ วุคน่าจะมีพรสวรรค์ในหมากล้อม และแล้วระลอกคลื่นลูกแรกจากหินก้อนนั้นก็เกิดขึ้น.... -- จบตอน ---


ตอนที่ 4 หนึ่งคิว ถ้าพูดถึงผู้เล่นระดับ 1 คิวในตอนนี้เราคงจะเห็นกันได้ทั่วไปมากมาย เมื่อปริมาณของมากขึ้น แน่นอนที่คุณค่าย่อมลดลงเป็นเงาตามตัว สมัยนี้นักเล่นหมากล้อมทุกคนคงจะไม่ชื่นชม และยกย่องผู้เล่นระดับ 1 คิวเหมือนกับเมื่อ 30 ปีก่อน ซึ่งใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ และในช่วงปี 60 นั่นเองที่เป็นช่วงที่วุคเริ่มหัดเล่นหมากล้อม เจ้าของชมรมหมากล้อมชุงจิง ครั้งหนึ่งเคยเล่าให้วุคฟังเกี่ยวกับผู้เล่นในระดับ 1 คิว ?มือระดับ 1 คิวนั้นสามารถจำหมากที่ตัวเองเล่นได้ ถ้าหากว่ามีใครมาล้างหมากออกไปจากกระดานแล้ว เขาก็สามารถเรียงกลับให้มาเป็นเหมือนอย่างเดิมได้ ชมรมฯของเราก็มีมือระดับ 1 คิวเหมือนกันแต่วันนี้เขาไม่ได้มา ยังไงเธอก็คงมีโอกาสได้เจอเขาแน่ๆ? และก็เป็นจริงอย่างที่คาด วุคได้เจอกับ 1 คิวจริงๆ ตอนนั้นวุคอยู่ในระดับ 15 คิว ถ้าเล่นกับเจ้าของร้านซึ่งอยู่ในระดับ 7 คิวเขาต่อให้วุค 9 เม็ด แต่ทว่าตอนที่ 1 คิวมาเล่นกับเจ้าของร้าน 1 คิวกลับสามารถต่อให้เจ้าของร้านได้ 9 เม็ดเช่นเดียวกัน 1 คิวคนนี้ดูเหมือนจะอายุยี่สิบกว่าๆ แต่เมื่อเข้ามาเล่นในร้านเมื่อใดก็จะมีผู้คนเข้ามามุงดูกันอย่างเนืองแน่น ดูจากการเล่นกับเจ้าของร้าน ดูเหมือนว่าเจ้าของร้านจะอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ สังเกตจากสายตา และเม็ดเหงื่อที่ปรากฏบนใบหน้า และแล้วไม่นานนักเจ้าของร้านก็กล่าวยอมแพ้ เมื่อเล่นเสร็จแล้ว 1 คิวก็ขอตัวกลับ เจ้าของร้านก็แทบจะขอร้องให้อยู่เล่นต่ออีกหน่อย แต่ 1 คิวก็ปฏิเสธไปอย่างสุภาพพร้อมกลับกล่าวว่าจะมาอีก ทางฝ่ายเจ้าของร้านก็กุลีกุจอไปหยิบบุหรี่ยี่ห้อแพง ?ชุงจา? ให้กลับไปหลายซองเหมือนกับเป็นกำนัลเพื่อวันหน้าจะได้กลับมาอีก 1 คิวรับของกำนัลแล้วก็ออกจากร้านไป วุคสังเกตการแต่งเนื้อแต่งตัวของ 1 คิวคนนี้ใส่เสื้อผ้าที่เก่าๆ ขาดๆ แต่มันก็ไม่ใช่เป็นสิ่งสำคัญ วุคเห็นเขาดูราวกับเป็นเทพยดา เขาทำอย่างไรถึงได้ 1 คิว เขาทำอย่างไรถึงได้เป็นเทวดาอย่างนี้หนอ จากการที่ไปเข้าชมรมฯบ่อยๆ ทำให้วุคได้เจอกับ 1 คิวคนอื่นๆอีก ชายวัยกลางคนหัวล้าน, คนหนุ่มใส่หมวกเบเล่ห์ และคนแก่สูบยากล้อง ซึ่งทุกคนต่างก็ถูกให้ความเคารพกันหมดจากนักเล่นคนอื่นๆ เมื่อพวกเขาเล่นคนเหล่านี้ก็จะมุงดูกันอย่างเงียบเชียบ เมื่อพวกเขาพูดอธิบายเกม คนเหล่านี้ก็จะฟังอย่างนอบน้อม ถึงแม้ว่าพวก 1 คิวทั้งหลายจะยากจนก็ตาม ที่ชมรมฯดงเอ ก็มี 1 คิวเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าชื่อจริงของเขาคืออะไร ทุกๆคนเรียกเขาว่า ?อาจารย์ลี? อาจารย์ลีคนนี้มีลักษณะดูราวกับนักโทษแหกคุก ใส่กางเกงทหารย้อมสีดำ ร้องเท้าฟองน้ำคู่ใหญ่ไม่พอดีเท้า กับผมเผ้าและหน้าตาที่ยุ่งเหยิงรุงรัง แต่ก็ไม่มีใครสนใจในรูปลักษณ์ของเขาเวลาที่เขาเข้ามาในชมรมฯ ทุกคนต่างยกย่องเรียกเขาเป็นอาจารย์กันทั้งสิ้น เขามาเล่นในชมรมฯไม่บ่อยนัก นานๆถึงจะเข้ามาสักที แต่เมื่อเขามาทีไรจะต้องมีคนมุงดูเกมที่เขาเล่นมากมาย และแน่นอนที่สุดทุกเกมที่เขาเล่นก็เป็นเกมหมากต่อกับผู้เล่นที่อ่อนกว่าทั้งสิ้น วุคเองก็ไม่เคยเห็นชายผู้นี้เล่นแพ้ใครเลย เขามักจะมีหมากเด็ดสำหรับช่วยให้กลุ่มหมากขาวรอด แล้วก็ฆ่ากลุ่มหมากดำกลับเป็นการตอบแทน แต่ทุกๆครั้งที่เขามาที่ชมรมฯ เขาก็จะกลับไปพร้อมกับบุหรี่ชุงจาหลายซอง ทันทีที่ได้บุหรี่เขาก็จะรีบแกะซองออกสูบอย่างกระหายหิว ในขณะที่ก้นบุหรี่ราคาถูกยี่ห้อ?สวอน? ก็จะบรรจงเก็บเอาไว้ในกระเป๋าเสื้ออย่างดี แล้วพ่นควันจากบุหรี่ราคาแพงไปในห้วงบรรยากาศในห้องของชมรมแห่งนั้น เป็นสัญญาณว่าจะไม่มีใครเห็นเขาอีกหลายวัน จวบจนกระทั่งเดือนสิงหาคมใกล้เข้ามา เหมือนกับจะมารบกวนเตือนให้วุครับรู้ถึงว่าเวลาที่จะมาสนุกกับหมากล้อมเช่นนี้กำลังจะหมดลง เพราะโรงเรียนจะเปิดแล้ว วันนั้นวุคก็ไปที่ชมรมฯตั้งแต่ไก่โห่ตามปกติ ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีคนอยู่ในชมรมฯมากนัก วุครู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เห็นอาจารย์ลี นั่งเล่นอยู่ตรงมุมห้อง โชคดีที่ยังเช้าไม่มีคนมุงดูมาก มีเพียงแค่คุณชุง ช่างตัดผ้า ผู้เล่นระดับ 6 คิวเท่ากับวุคกำลังนั่งดูอย่างสบายใจอยู่ติดขอบกระดาน วุคก็รีบคว้าเก้าอี้เข้าไปนั่งดูข้างๆคุณชุงทันที อาจารย์ลีกำลังเล่นอยู่กับเด็กผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกับวุค ขณะที่มองเกม วุคพยายามดูว่าเด็กคนนี้ได้เล่นหมากต่อกี่เม็ดจากอาจารย์ลี แต่ดูไปดูมาปรากฏว่านี่ไม่ใช่หมากต่อ แต่เป็นเกมเสมอ...เด็กรุ่นเดียวกับวุค เล่นเกมเสมอกับอาจารย์ลีได้เชียวหรือ ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าเกมนี้อาจารย์ลีกำลังตกที่นั่งลำบากด้วย อาจารย์ลี คนที่วางหมากได้ในชั่วพริบตา ตอนนี้กลับเดินหมากอย่างใช้ความคิด นิ่งเงียบ สีหน้าอันปวดร้าวที่ปรากฏออกมาเหนือกระดานนั้น เป็นสีหน้าที่วุคไม่เคยเห็นจากอาจารย์ลีมาก่อน หลังจากนิ่งคิดอยู่นาน อาจารย์ลีประกาศยอมแพ้ พร้อมกับถอนใจ ?ผมยอมแพ้ หมากกลุ่มนี้ไม่รอดแล้ว? อาจารย์ลีแพ้...แพ้เด็ก....เป็นไปได้อย่างไร ยังไม่ทันที่จะหายมึนงง ต่อมาคุณชุงได้เอ่ยถามอาจารย์ลีว่า ?อาจารย์ลี, ทำไมไม่ช่วยหมากกลุ่มนี้โดยต่อหมากออกมาธรรมดา แทนที่จะตัด? ?อืม..น่าจะได้นะ...? อาจารย์ลี ตอบอย่างคลุมเคลือตามเคย ทว่าเด็กชายผู้นั้นก็แทรกเข้ามาระหว่างการสนทนา ?ผมคิดว่าคงจะไม่เป็นอย่างนั้น ถ้ายืดออกมาตรงนี้ ถ้าสู้กันแล้วหมากกลุ่มนั้นจะมีลมหายใจน้อยกว่าของผม 1 ลมหายใจ? แต่ช่างตัดผ้าไม่ยอมแพ้ ?ผมคิดว่า มันน่าจะเป็นไปได้ที่กลุ่มหมากขาวจะสร้าง 2 ห้อง ด้วยการเล่นทแยงตรงนี้? ทันใดนั้น เด็กชายคนนั้นก็แสดงอาการไม่พอใจ แล้วขึ้นเสียง ?คุณครับ คุณเล่นอยู่ในระดับไหน ผมอยู่ระดับ 2 คิว และผมคิดว่าไม่มีทางที่ขาวกลุ่มนี้จะรอดอย่างแน่นอน? ความเงียบสงบกลับมา มันก็ผิดล่ะที่คุณชุงผู้ซึ่งฝีมือด้อยกว่าดันไปเสนอข้อโต้แย้งกับผู้เล่นระดับสูง แต่การที่เด็กขึ้นเสียงกับผู้ใหญ่คราวพ่อด้วยโทสะแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่ไม่บังควร มันไม่ใช่เรื่องที่ว่าใครจะถูกหรือใครจะผิด ในเกาหลีการไม่เคารพผู้ใหญ่ก็ถือเป็นนิสัยที่ไม่ดี (เช่นเดียวกับบ้านเรา) การขึ้นเสียงของเด็กชายทำให้คุณชุงเสียหน้าไปในทันใด คุณชุงพยายามแก้เขินด้วยการควาญหาบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อ และแล้วอาจารย์ลีก็ทำลายความเงียบ ?ดง...รีบกล่าวขอโทษคุณชุงเสียเดี๋ยวนี้ แสดงนิสัยไม่ดีอย่างนี้ออกมาได้อย่างไร โดยเฉพาะกับผู้เล่นหมากล้อมด้วยกัน? เด็กชายก่นพึมพำ ขอโทษ ขอโทษ กับอาจารย์ลี แล้วก็รีบลุกขึ้นยืนหลบหายออกไปจากชมรมฯอย่างรวดเร็ว ?ช่างมันเถอะ...ผมผิดเองแหละ มือ 6 คิวดันไปวิพากษ์วิจารณ์การอ่านหมากของผู้เล่นระดับสูงกว่า? ช่างตัดผ้าผู้ใจกว้างพูดผ่อนคลายสถานการณ์ให้ดีขึ้น อาจารย์ลีก็ชวนเล่น 1 กระดานราวกับเป็นการขอโทษเป็นการตอบแทน พร้อมกับกล่าว ?เด็กคนนั้นจะต้องยิ่งใหญ่ในโลกหมากล้อมแน่ จำคำผมไว้ให้ดี เขามีสมองที่ดีเลิศที่จะส่งให้เขาประสบความสำเร็จ ถึงแม้ว่าเขาอาจจะเดินผิดพลาดไปบ้าง... แล้วเขาก็ยังเรียกตัวเองว่าอยู่ในระดับ 2 คิว ในขณะที่ไม่มี 1 คิวคนไหนสู้เขาได้....เขาเป็น 2 คิวก็จริงแต่เป็น ?วอนเซ็ง? 2 คิว ฮ่า ๆ ๆ ? ?อะไรคือวอนเซ็งหรือครับ? ?วอนเซ็ง ก็คือนักเรียนหมากล้อมในความควบคุมของสมาคมหมากล้อมเกาหลี ซึ่งจะแบ่งระดับแยกออกไปตั้งแต่ 12 คิวไปจนถึง 1 คิว ระดับของพวกนี้จะปรับเปลี่ยนทุกเดือน ขึ้นอยู่กับผลการแข่งขันของเดือนนั้นๆ ระดับขั้นในพวกนั้นก็เป็นแค่เครื่องบ่งบอกตำแหน่งของแต่ละคนเท่านั้น จริงๆแล้วมันหลอกลวงทั้งเพ พวกวอนเซ็ง 12 คิวบางคนอาจจะฝีมือระดับ 1 คิวกับคนภายนอกก็ได้? ?คุณหมายถึงวอนเซ็ง 12 คิวเอาชนะคุณได้หรือครับ อาจารย์ลี? ?แน่นอน...ผมแพ้ให้กับพวกวอนเซ็ง 11-12 คิวออกจะบ่อย? วุครู้สึกหนักใจขึ้นมาในทันใด เป้าหมายของเขาตอนนี้ก็คือการขึ้นไปถึงระดับ 1 คิวอย่างอาจารย์ลี แต่อะไรกัน ยังมีพวกวอนเซ็งโผล่ขึ้นมาอีก ดูเหมือนเกมหมากล้อมจะไม่มีที่สิ้นสุด มีบันไดขั้นแล้วขั้นเล่าที่จะต้องไต่ขึ้นไปจวบจนกระทั่งเป็นนักเล่นที่เก่งฉกาจ ทันใดนั้นวุคก็คิดอยากจะพบกับดงอีกครั้ง เขาเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน น่าจะเป็นเพื่อนกันได้ และเขาอาจจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับหมากล้อมให้วุคเข้าใจได้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ดงก็ไม่ได้กลับมาที่ชมรมฯอีกจวบจนกระทั่งช่วงเวลาปิดเทอมได้หมดไป มีต่อ.... การก้าวหน้าในฝีมือหมากล้อมนั้น จะค่อยๆช้าลงเมื่อเราเลื่อนขั้นสูงขึ้น การขยับเลื่อนขึ้นของวุคจนถึง 6 คิวดูเหมือนจะค่อยๆช้าลง ไม่รวดเร็วเหมือนครั้งเริ่มต้น กว่าจะได้เลื่อนระดับถึงขั้น 3 คิวได้ วุคใช้เวลาศึกษาต่อไปถึง 5 เดือน ฝีมือขนาดนี้ก็จัดได้ว่าเป็นที่นับหน้าถือตาจากผู้เล่นโดยทั่วไปแล้ว การขึ้นมาในระดับนี้ได้นั้น วุคใช้เวลาว่างที่มีทั้งหมดในการศึกษาจากบันทึกเกมของมืออาชีพ และหาอ่านตำราหายากจากร้านหนังสือเก่า กระนั้นก็ตามตัววุคเองก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นพัฒนาฝีมือขึ้นมาได้ช้า อันที่จริงการเลื่อนขึ้นมาในระดับ 3 คิวในระยะเวลาไม่ถึงปีนั้นถือได้ว่าเร็วมากแล้ว ผลการเรียนของวุคในโรงเรียนเริ่มแย่ลง คุณฮวอนผู้ที่ไม่เคยต่อว่าอะไรกับการไปเล่นหมากล้อม ตอนนี้ก็คงต้องรีบเข้ามาแทรกเสียก่อนที่จะสายเกินไป ?ลูก...การเล่นหมากล้อมนี่ เราเล่นก็เวลาที่เราไม่มีอะไรจะทำ เป็นการฆ่าเวลา ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเฒ่าคนแก่เขาทำกัน แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องของคนหนุ่มๆ ที่มีสิ่งสำคัญอย่างอื่นอีกที่จะต้องใส่ใจ ต้องเรียนรู้ พ่อหวังว่าลูกคงจะเข้าใจว่าลูกเป็นเหมือนกับตัวแทนของครอบครัวของเรา จะดีไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับตัวลูกเอง ลูกคงจะไม่ทำให้พ่อผิดหวังด้วยเหตุจากหมากล้อมนะ? ถึงแม้ว่าคะแนนของวุคจะตกต่ำลง แต่ก็ยังไม่ถือว่าต่ำกว่าเกณฑ์ที่คุณฮวอนตั้งมาตรฐานไว้ ลึกๆแล้วคุณฮวอนยังคิดว่าวุคคงจะเป็นไปอย่างที่ตนเองคาดหวังไว้ตั้งแต่แรก ยิ่งห้ามก็เหมือนกับยิ่งยุ ตอนนี้ชีวิตของวุคก็วนเวียนแวดล้อมอยู่แต่กับหมากล้อมเท่านั้น ถึงแม้ว่าระดับ 3 คิวจะเป็นที่ยอมรับว่าเป็นผู้เล่นระดับเยี่ยมยอดแล้วก็ตาม การขึ้นไปให้ถึง 1 คิวได้นั้นยังต้องทุ่มเทอีกมาก มีคนมากมายที่พอใจในระดับตัวเองที่ 3 คิว เพราะระดับ 1 คิวนั้นนอกจากจะทุ่มเททั้งเวลาแล้ว ยังเกี่ยวกับพรสวรรค์และความทะเยอทะยานอีกด้วย วุคใช้เวลาศึกษาต่อไปอีก 1 ปีแล้วตนเองก็ขึ้นสู่จุดที่ตนต้องการ ในวันที่เขาสามารถชนะในการแข่ง 10 กระดานกับอาจารย์ลีได้ วุคก็ได้รับการยอมรับจากผู้เล่นคนอื่นๆ เรียกเขาว่า ?อาจารย์ฮวอน? หรือ?ฮวอน 1 คิว? ตอนนี้วุคได้เลื่อนชั้นขึ้นมาในปีที่ 2 (ม.5) ของโรงเรียน วุคเติบโตขึ้นทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมไปถึงความสามารถทางด้านหมากล้อมก็เติบโตขึ้นเป็นเงาตามตัว ขณะนี้วุคได้เลื่อนขึ้นเป็นระดับ 1 คิวแล้วและก็ยังคงคิดที่จะได้พบกับดง เพื่อวัดฝีมือตนเองว่าขนาดไหน จึงสอบถามกับอาจารย์ลี ถึงฝีมือของดงว่าอยู่ในระดับไหน ?เธอคงจะสามารถเอาชนะดงได้ ถ้าดงต่อหมากให้ 2 เม็ด แต่ถ้าเป็นหมากต่อเม็ดเดียวแล้วคงจะยังไม่สำเร็จ? เก่งขนาดนั้นเชียวหรือ วุคแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่อาจารย์ลีกล่าว ตัวเขาเองนั้นก็เริ่มเหิมเกริม คิดว่าตนเองนั้นสามารถต่อกรได้กับมือโปรระดับท้อปในหมากต่อ 2 เม็ดได้อย่างสบายๆ ถ้าตามที่อาจารย์ลีพูดแล้ว ดงก็น่าจะมีฝีมือระดับใกล้เคียงกับโปรระดับท้อปเช่นกัน แต่ทำไมดงถึงไม่ได้เป็นมืออาชีพเสียที ตัววุคเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น จริงๆแล้วเขาเองยังต้องเดินอีกยาวไกลกว่าจะไปได้ถึงจุดนั้น ความมั่นใจในตนเองจนเกินไปนั้น นั่นก็คือลักษณะของผู้เล่นมืออ่อน ซึ่งก็จริง วุคยังคงเป็นมืออ่อนอยู่นั่นเอง.... ---จบตอน----


ตอนที่ 5 เขาชื่อ?ดง? ในช่วงเวลานั้น การบริหารกิจการร้านหมากล้อม หรือชมรมหมากล้อมใช่ว่าจะเป็นธุรกิจที่สวยหรู รายได้หลักจากการเปิดร้าน ก็ได้มาจากค่าธรรมเนียมจากผู้ที่เข้ามาเล่น จะกี่ชั่วโมงก็ได้ทั้งวี่ทั้งวันคิดเป็นเงินแค่ 30 วอน (ประมาณ 1.50 บาท) ในขณะที่ค่าบะหมี่ชามละ 50 วอน จะว่าไปแล้วรายได้จากการเก็บค่าเข้าร้านยังไม่เพียงพอกับเงินเดือนของพนักงานเฝ้าร้านเสียด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดชมรมหมากล้อมดงเอก็จำเป็นที่จะต้องปิดกิจการลง ไม่ไกลจากชมรมหมากล้อมดงเอเท่าไร ก็มีชมรมหมากล้อมอีกแห่งมีชื่อเรียกว่า ?วายซีคลับ? ซึ่งมีทำเลอยู่ในย่านตลาดสด ตั้งอยู่บนชั้นสองของตึกโทรมๆเก่าๆเล็กๆหลังหนึ่ง ดูๆแล้วถ้าเป็นแค่เพียงชมรมหมากล้อมก็คงจะไม่น่าจะมีคนเข้าไปเล่นกันมากนัก แต่ทว่ากิจการของวายซีคลับ กลับไปได้ด้วยดี เนื่องจากว่าด้านในของห้องเล่นหมากล้อม จะมีห้องอีกห้องหนึ่งซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นห้องสำหรับพวกผีพนันที่นิยมเข้าไปเสี่ยงโชคจากการพนันทุกอย่าง และนี่ก็ถือเป็นรายได้หลักซึ่งมากกว่ารายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมการเล่นหมากล้อมทั่วๆไปวันละ 30 วอน แต่หลังจากการล่มสลายของชมรมดงเอแล้ว วายซีคลับก็กลายมาเป็นสถานที่แห่งเดียวที่นักหมากล้อมแถวๆนั้นสามารถเข้ามาหาคู่เล่นได้ ทางเจ้าของร้านก็รีบฉวยโอกาสคว้าลูกค้าใหม่ๆทันที ด้วยการจัดการแข่งขันชิงรางวัลขึ้นระหว่างสมาชิก ถึงแม้ว่ารางวี่รางวัลจะไม่ได้เลิศหรู เป็นเพียงแค่ข้าวสาร อาหารแห้ง หรือ แม้กระทั่งตำราหมากล้อม ก็ยังเป็นที่นิยมชมชอบสำหรับผู้เล่นหมากล้อมเช่นกัน แต่ลึกๆแล้วพวกนักหมากล้อมทั้งหลายต่างก็ชอบเข้าแข่งกันทั้งนั้น การแข่งขันครั้งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการเข้าแข่งขันครั้งแรกของวุค ในวันแข่งขัน วุคก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้ที่เห็น ?ดง? เด็กคนที่เขาเคยเจอเมื่อนานมาแล้ว ก็เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ด้วย ระยะเวลาปีครึ่งได้เลื่อนระดับของวุคจาก 6 คิวขึ้นมาเป็น 1 คิว แต่สำหรับดงแล้ว เขาลงสมัครโดยลงแข่งในระดับแค่ 2 คิวเท่านั้น การแข่งขันในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ตัววุคเองจัดอยู่ในกลุ่ม A ซึ่งมีผู้เข้าร่วมแข่งขันตั้งแต่ระดับ 1 คิวจนถึง 4 คิว โดยการแข่งขันจะเป็นระบบหมากต่อ สำหรับผู้เล่นที่ระดับต่างกัน ในการแข่งขันตลอดทั้งวัน มีเพียงวุคกับดง เท่านั้นที่มีคะแนนเป็นที่หนึ่ง คือยังไม่เคยแพ้ใครเลย ในที่สุดทั้งคู่จะต้องเจอกันในรอบสุดท้าย อันเป็นรอบตัดสินว่าผู้ใดจะเป็นผู้ชนะเลิศในการแข่งขันครั้งนี้ (มีต่อ...) ด้วยเหตุที่ดงเข้าแข่งในระดับ 2 คิว ดังนั้น เมื่อแข่งกับวุคผู้ซึ่งเข้าแข่งในระดับ 1 คิวแล้ว วุคจำต้องต่อให้ดง 1 เม็ด คือวุคเล่นขาว และดงเล่นดำโดยไม่มีโคมิ ตัววุคเองนั้นรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะถ้าหากว่าวุคสามารถเอาชนะดงได้ โดยที่ตัวเองถือขาวแล้ว จะทำให้วุคกลายเป็นผู้เล่นที่มีฝีมือเป็นที่หนึ่งในย่านนี้เลยทีเดียว ส่วนตัวดงเองนั้นกลับรู้สึกฉงนสนเท่ห์ไปกว่านั้นว่า เด็กรุ่นเดียวกลับเขาอย่างวุคตอนนี้กลับกลายมาเป็นผู้เล่นระดับ 1 คิวไปแล้ว ดงคว้าเอาโถหมากดำมาทางฝั่งตนเอง สัญญาณว่าจะเริ่มต้นแข่งในไม่ช้า ถึงแม้ว่าตัวดงเองจะยังเล่นในระดับ 2 คิว แต่ทว่าลักษณะรูปร่างของดงดูเหมือนจะเปลี่ยนไปจากที่เคย ทรงผม และการแต่งตัวที่ดูจะเป็นผู้ใหญ่มากกว่าอายุจริง อีกทั้งรูปร่างที่ดูสูงขึ้นกว่าเดิม วุครู้สึกตัวเองจะมันแต่ประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงของดง ไปจนลืมไปว่ากำลังแข่งกันอยู่ เขาพยายามตั้งสติ แล้วกลับเข้าไปในเกมอีกครั้ง ดง เป็นนักหมากล้อมฝีมือแข็งแกร่ง ตำแหน่งหมากแต่ละตาที่วางลงไปนั้น เป็นผลลัพธ์จากการอ่านหมากที่ลึกซึ่งไปทั่วทั้งกระดาน หมากแต่ละตาไม่ปล่อยโอกาสให้วุคโต้กลับได้เลยแม้แต่น้อย มันทำให้วุคหวนคิดไปถึงคำที่อาจารย์ลี เคยบอกแก่ตนว่า ตัวเองยังถือว่าฝีมือยังด้อยกว่าดงอยู่อีกเกือบ 2 ขั้น เกมดำเนินต่อไปอย่างไม่คู่คี่ คะแนนบนกระดานตอนนี้ดำทิ้งห่างขาวออกไปกว่าสิบแต้ม ไม่มีทางที่ขาวจะหาทางเยียวยาได้อีกต่อไป ในที่สุดวุคก็ขอยอมแพ้ แล้วดงก็เป็นผู้ชนะการแข่งขันครั้งนี้ ตัววุคเองก็รู้สึกเหนื่อยและอยากกลับบ้านเต็มแก่ ทว่ามีเสียงเรียกมาจากด้านหลัง ?เรามาเล่นกันอีกกระดานไหม?? เสียงเรียกจากดง ?ได้เลย...แต่ดูเหมือนว่าคุณจะเก่งกว่าผมนะ? วุคพูดถึงกรณีเล่นหมากต่ออย่างในการแข่งที่ผ่านมา ?เอาเป็นเล่นเกมเสมอกันเป็นไง? วุครีบเสนอความเห็นทันที ?ยังไงก็ได้ครับ? ดงตอบรับอย่างสุภาพ ผลจากการทายหมาก วุคได้เป็นฝ่ายเล่นดำ ซึ่งก็ทำให้เขาสบายใจขึ้นมาว่าอาจมีโอกาสเอาชนะดงได้ ความมั่นใจที่หายไปหลังจากความพ่ายแพ้ในการแข่งขัน ดูเหมือนว่าจะกลับมาอีกครั้ง วุควางหมากเม็ดแรกตรงมุมขวาบนของกระดาน แล้วเกมก็ดำเนินต่อไปจนเข้าช่วงกลางเกม ทันใดนั้นก็มีเด็กหนุ่นคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาในคลับพร้อมกับเข้ามาทักทายกับดง แล้วก็นั่งลงตรงข้างๆ หากแต่ว่าเขาไม่ได้สนใจที่จะดูเกม และดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นนักเล่นหมากล้อมด้วย เขามาเพื่อพบกับดงเท่านั้น ถึงแม้ว่าการแต่งกายของเด็กหนุ่มคนนี้จะดูแก่กว่าวัย แต่ทว่ารอยสิวฝ้าบนใบหน้านั้น บ่งบอกได้ว่าเขาคงจะรุ่นๆเดียวกันกับวุค หลังจากที่เขานั่งอยู่พักใหญ่ ก็พูดทักทายกับวุคทันที ?วุค...นายคือวุคใช่มั๊ย? จำเราได้หรือเปล่า อิคู เราเคยอยู่ชั้นประถมด้วยกันไง? เขาคืออิคู เด็กหัวโจกคนหนึ่งในโรงเรียนประถมที่วุคเคยอยู่ ?จริงด้วย เราเพิ่งจะนึกออก นายเปลี่ยนไปเยอะมาก เราเกือบจะจำไม่ได้? สำหรับตัววุคสมัยเด็ก จัดว่าเป็นเด็กหัวดีอันดับหนึ่งที่ใครๆก็รู้จัก แต่สำหรับอิคูนั้น ก็เป็นเด็กเกเรอันดับหนึ่งที่ใครๆก็รู้จักเช่นเดียวกัน ดูเหมือนสองคนนี้จะมีอะไรบางอย่างที่คล้ายกันอยู่ วุครู้สึกดีใจที่พบกับเพื่อนเก่าโดยบังเอิญแบบนี้ ?นายเป็นเพื่อนกับ ดงเหรอ? วุคหันหน้าไปที่ดง ?เจ้านี่นะเหรอ.... จะเรียกมันว่าเป็นเพื่อนกับเราก็ได้ เอาล่ะพวกแกจะยังมานั่งเล่นเกมอะไรน่าเบื่อนี้อีกเหรอ ในเวลาที่เพื่อเก่ามาเจอกัน เราออกไปฉลองกันดีกว่า? วุคกับดง มองหน้ากันแล้วก็ล้างหมากออกจากกระดาน แน่นอนล่ะ หมากเกมนี้ดงเป็นฝ่ายชนะอยู่แล้วทั้งคู่ต่างก็รู้กันดี ?เราจะไปกินกันที่ไหนดีอิคู วันนี้ถือเป็นวันพิเศษเพราะเรามีคนใหม่? ดงยิ้ม รู้สึกดีที่จะได้รู้จักกับวุค ?ว่าไงนะ พวกแก คนหม่งคนใหม่อะไรกัน นี่...อยู่เฉย ๆ ก่อน เวลาตอนนี้วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1968 หนึ่งทุ่ม สามสิบสี่นาที ฉันขอสั่งให้แกทั้งสองคนเป็นเพื่อนกัน เรียกชื่อกันได้เลยไม่ต้องมีคนโน้น คนนี้ คนนั้น คำสั่งเริ่มใช้ในทันที ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ? อิคูหัวเราะชอบใจ วุคกับดง เป็นเพื่อนกันแล้ว ---จบตอน---


ตอนที่ 6 เพื่อนใหม่ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทั้งสามคนก็กลายมาเป็นเพื่อนสนิท ไปไหนไปด้วยกันตลอด สิ่งเดียวที่ทำให้วุครู้สึกไม่สบายใจ นั่นก็คือ ทั้งดง และอิคูนั้น ต่างก็ลาออกจากโรงเรียนมัธยมฯ มาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ที่เที่ยวบางประเภทที่ทั้งคู่ชอบไป บางทีวุคก็ไม่สามารถเข้าไปได้เนื่องจากติดที่ว่าตัวเองยังเป็นนักเรียนอยู่ และกฎข้อบังคับของโรงเรียนก็เคร่งครัด ถ้าถูกจับได้ก็อาจถึงกับต้องพักการเรียน แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้มาเป็นอุปสรรคในการคบหากันของทั้งสาม ยิ่งคบกันมากเท่าไรวุคก็เริ่มเปลี่ยนไปเหมือนกับเพื่อนมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ถ้าหากว่าคุณฮวอนมาเห็นพวกเพื่อนๆเหล่านี้ของวุคแล้ว คงจะเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว นอกจากสิ่งใหม่ๆที่เข้ามาในวิถีชีวิตของวุคแล้ว ฝีมือหมากล้อมของวุคก็พัฒนาได้ดียิ่งขึ้น จากการเล่นกับดงอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งตอนนี้วุคสามารถถือดำเล่นกับดงโดยไม่มีแต้มต่อได้อย่างสูสีแล้ว วันหนึ่งขณะที่วุคกับดง กำลังนั่งรอเพื่อออกไปพบกับอิคูที่ร้านอาหาร ดงก็ได้บอกกับวุคถึงเรื่องที่ตนได้ลาออกจากการเป็นวอนเซ็ง(อินเซย์) ด้วยเหตุที่ว่ามีกฎ ระเบียบมากมายที่จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อย่างเช่นถ้าหากว่าวอนเซ็งคนใด เมื่อถึงกำหนดแล้วไม่ได้ไปจดบันทึกหมากของมืออาชีพ แล้วจะต้องโดนตัดสิทธิไม่ได้เข้าแข่งเลื่อนระดับตลอดทั้งเดือน วอนเซ็งคนใดที่ลาออกไปแล้วก็จะไม่มีสิทธิกลับเข้ามาเป็นวอนเซ็งได้อีกต่อไป ?อย่างเพิ่งเข้าใจเราผิดไปวุค เรายังศึกษาหมากล้อมอย่างหนักเหมือนเดิม แล้วเราจะขึ้นสู่ระดับอาชีพได้ด้วยตัวเราเอง? ดงกล่าวอย่างไม่ค่อยจะมั่นใจนัก บ่อยครั้งที่วุคจับได้ถึงน้ำเสียงที่ออกจะกลัวๆของดง เวลาพูดถึงการแข่งขันคัดตัวเป็นมืออาชีพ ซึ่งในระดับ 1 คิวทั้งหลายที่วุครู้จัก ยังไม่เห็นมีใครที่มีฝีมือดีกว่าดงเลย ฝีมือของดงนั้นน่าจะขึ้นเป็นมืออาชีพได้สบายๆ ขนาดนี้แล้วดงยังจะกลัวอะไรอีก สำหรับการแข่งขันคัดตัวนักหมากล้อมมืออาชีพในสมัยนั้น จัดขึ้นปีละ 2 ครั้งโดยสมาคมหมากล้อมเกาหลี ตอนกลางปี และปลายปี ซึ่งในการแข่งขันแต่ละครั้งก็จะมีผู้เข้าแข่งขันประมาณ 300 คน โดยคัดตัวผู้ชนะแค่ 2 คนเพื่อเข้ามาเป็นนักหมากล้อมมืออาชีพในระดับ 1 ดั้ง ด้วยเหตุนี้การเข้าแข่งขันคัดตัวเป็นมืออาชีพนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง ?การที่จะขึ้นเป็นมืออาชีพนี่มันยากมากนักหรือ? วุคถามดงด้วยความสงสัย ?ใช่...ยาก.....ยากมาก? ?แต่ว่า...ระดับอย่างนายแล้ว เราว่าไม่น่าจะมีปัญหาในการชนะแข่งขันคัดตัว!!!? ดงไม่ตอบ... ?นายหมายความว่า ยังมีคนที่เก่งกว่านายอยู่อีกเหรอ ? ดงก็ยังนั่งเงียบอยู่อีก ?นายเคยบอกว่า นายเคยเล่นหมากต่อ 2 เม็ดกับโปรเก่งๆ ได้สบายๆ แบบนี้แล้วยังจะมีคนที่เก่งกว่านายอยู่อีกได้อย่างไร บอกตามตรงว่า เราเองก็อยากจะเข้าแข่งคัดตัวมืออาชีพอยู่เหมือนกัน? ในที่สุดเมื่อเจอกับคำถามเป็นชุดอย่างนี้แล้ว ดงก็ทนเงียบไม่ไหว ?วุค... นายไม่มีโอกาสหรอก ไม่มีทาง? ?เราเล่นห่วยมากขนาดนั้นเชียว!! เราเองก็อยู่ระดับ 1 คิวที่แข็งแล้วยังต้องกลัวอะไรอีก? ?ฟังเราให้ดีๆนะ ที่เราบอกไปเป็นความจริง มีคนอีกเป็นร้อยที่ฝีมือดีกว่าเราแต่ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เป็นโปร จริงอยู่ที่จะต้องมีฝีมือดีเยี่ยม แต่เรื่องของโชคชะตามันก็มีส่วนเกื้อหนุนเช่นเดียวกัน นายรู้หรือเปล่าว่ามีนักหมากล้อมฝีมือดีเลิศ แต่เป็นโปรไม่ได้เพราะดวง วุค...ฝีมือระดับอย่างนายยังอยู่อีกไกล ขนาดเราเข้าแข่งดีที่สุดก็แค่ผ่านรอบแรกเท่านั้น ทั้งๆที่มีรอบคัดเลือกก่อนรอบจริงอยู่ถึง 3 รอบด้วยกัน คิดดูให้ดี? ?โห...ฟังดูโหดจัง เล่าให้เราฟังอีกหน่อยสิว่า จะเข้าไปแข่งจะต้องทำยังไง? ?วุค ฟังให้ดีๆนะ เราไม่เข้าใจว่าทำไมนายถึงอยากจะเป็นมืออาชีพนัก นายมีพร้อมทุกอย่างแล้ว ได้เรียนอยู่ในโรงเรียนดีๆ มีครอบครัวที่ร่ำรวย เราเองสิจำเป็นที่จะต้องสอบเป็นมืออาชีพให้ได้ เพราะนั่นเป็นหนทางเดียวที่เราจะเอาตัวรอดได้ ถ้าพูดไปถึงเรื่องหมากล้อม นายก็อยู่ในระดับ 1 คิวที่ใครต่อใครต่างก็ยอมรับนับถือซึ่งก็เพียงพอแล้ว ถ้านายจะประสบความสำเร็จทางด้านหน้าที่การงานอื่นๆแล้วมันก็จะยิ่งทำให้ใครต่อใครยอมรับมากยิ่งขึ้นไปอีก วุค นายมีอนาคตที่สดใสนะ....ตายละนี่ กี่โมงแล้ว เราต้องรีบออกไปเจอกับอิคูนี่ ขืนชักช้าเดี๋ยวมันอัดเราแน่ รีบไปกันเถอะ? วุครู้สึกเสียดายที่ดงมาตัดบทเอาตอนนี้ แต่ทว่าไปพบกับอิคูน่าจะมีอะไรตื่นเต้นให้ทำมากกว่า ทั้งคู่ลืมเรื่องมืออาชีพไปชั่วขณะ ที่ร้านอาหาร อิคูนั่งรออยู่พร้อมกับเด็กผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันอีก 3 คน วุคและดงไม่เข้าใจ พอเห็นเข้าก็รีบเดินหลบไปนั่งอยู่ห่างๆ ไม่นานเท่าไรอิคูก็รีบเดินออกมาตาม ?ไอ้ พวกบ้า..มานั่งอะไรแถวนี้ เราอุตส่าห์พาสาวๆมาแนะนำให้รู้จัก พวกนี้เป็นนักวอลเล่ย์บอลของโรงเรียนสตรี S หน้าตาน่ารักๆทั้งนั้น จะได้แนะนำให้รู้จัก รีบตามมาเดี๋ยวนี้ เฮ้อ...เจ้าพวกนี้ยังจะต้องให้ป้อนข้าวอยู่อีก? วุครู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แต่ก็ตื่นเต้น ทั้งวุคและดง ต่างก็ไม่ประสาในเรื่องจีบผู้หญิง ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่อิคูที่จะต้องทำหน้าที่พี่เลี้ยงไปอีกครา แล้วอิคูตัวดีก็จัดการจับคู่ให้เพื่อนเสร็จสรรพ วุคถูกจัดให้นั่งกับเด็กสาวที่ชื่อ ?อินแน? ครั้นเมื่อใครต่อใครรู้ว่าวุคเรียนอยู่ที่ไหน ต่างก็ตื่นเต้นอิจฉาอินแน ที่ได้นั่งคู่กันกับวุค และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่วุครู้สึกภูมิใจในความเป็นนักเรียนโรงเรียน K ทั้ง 6 คนต่างก็แยกย้ายกันกลับในเวลาต่อมา อินแนชวนวุคให้ไปดูการแข่งขันวอลเล่ย์บอลของโรงเรียน S ที่ตนแข่งอยู่ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครปฏิเสธ วุครู้สึกตื่นเต้นที่ได้เจอกับอินแน ความรู้สึกแปลกๆได้เกิดขึ้นกับวุคอีกครั้ง... จบตอน



ตอนที่ 7 อินแน ปาร์ค ทั้งสามคน วุค, ดง และ อิคู ต่างก็พร้อมใจกันไปดูการแข่งขันวอลเล่ย์บอลในครั้งนี้ วุคแต่งเครื่องแบบนักเรียนเต็มยศเพื่ออวดกับอินแน จนทำให้ตนเองรู้สึกไม่ดีที่ทำให้เพื่อนอีกสองคนดูแย่ลง เมื่อไปถึงสนามแข่งต่างคนต่างก็แยกย้ายกัน ไปเจอกับเพื่อนสาวนักวอลเล่ย์ของตน ผลการแข่งขันในเซ็ทสุดท้าย โรงเรียนของอินแนแพ้ไปฉิวเฉียดแค่ 14-16 ผลทำให้นักกีฬาทั้งทีมตกอยู่ในห้วงแห่งความเศร้าหมอง ระหว่างรออินแนออกจากห้องแต่งตัวนักกีฬา วุคก็ครุ่นคิดไปถึงว่าจะพาเพื่อนสาวคนนี้ไปเที่ยวที่ไหนดี จะพาไปร้านบะหมี่ในตัวเมืองดีหรือเปล่า เสร็จแล้วก็จะพาไปต่อที่ไหนอีกดี คิดวนไปวนมา หาข้อสรุปไม่ได้ ครั้นอินแน มาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง รีบบอกกับวุคว่า ?ฉันมีคนอยากจะแนะนำให้เธอรู้จัก? เจอมุขนี้วุคถึงกับคิดไปต่าง ๆ นา ๆ เอ.. จะเป็นพี่ชายจอมโหด หรือจะเป็นเพื่อนชายคนอื่นที่เธอชวนมาหรือเปล่า ไม่นานเท่าไร คนที่วุคเห็นกลับเป็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ?นี่คือคุณแม่ของฉัน คุณแม่ขา นี่เพื่อนของหนูค่ะ? อินแนแนะนำ วุครู้สึกประหลาดใจที่เห็นอินแน แนะนำคุณแม่ของตัวเองให้รู้จักกับเพื่อนชายโดยไม่เก้อเขินแต่อย่างใด ถ้าหากเป็นคุณฮวอนพ่อของวุคละก็ ได้เป็นเรื่องแน่ ๆ เพราะตามกฎบ้านแล้วลูก ๆ ในวัยเรียนนั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้มีแฟนเป็นอันขาด ?จริงหรือนี่ เป็นเด็กนักเรียนชั้นเยี่ยมเสียด้วย? คงจะเป็นผลจากเครื่องแบบนักเรียนของวุคนั่นเอง ที่ทำให้คุณแม่ของอินแนกล่าวเช่นนั้น ?คุณแม่ขา หนูขอพาเพื่อนที่บ้านเราได้มั๊ยคะ? ?ได้สิจ๊ะ เดี๋ยวแม่จะได้หาอะไรให้เราทั้งคู่รองท้องเมื่อถึงบ้านก็แล้วกัน? ความรู้สึกเปรียบเทียบกับครอบครัวของตนเองได้เกิดขึ้นกับวุค เขากำลังถูกเชื้อเชิญให้ไปบ้านเพื่อนหญิงของตนจากแม่ของหล่อนเอง ยังไม่ทันที่ความประหลาดใจครั้งแรกจะสิ้นสุด สิ่งประหลาดใจครั้งถัดมาก็คือ รถเก๋งคันใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศที่หาดูไม่ได้ง่ายนักในเกาหลีสมัยนั้น พร้อมกับโชเฟอร์แต่งตัวเต็มยศได้ขับเข้ามาจอดรับ วุคถึงกับนั่งเงียบไปตลอดทาง มีแต่อินแนเท่านั้นที่คุยจ้ออย่างร่าเริงอยู่ในรถจนถึงบ้าน บ้านของอินแน เป็นคฤหาสถ์หลังใหญ่ มีรั้วลูกกรงเหล็กสูงใหญ่อยู่ล้อมรอบ ก่อนจะถึงบ้านก็เป็นสนามหญ้า และสวนหน้าบ้านตกแต่งอย่างมีรสนิยม เข้าไปถึงตัวบ้านก็เห็นภาพเขียนสีน้ำมันร่วมสมัยแขวนอยู่บนผนังห้องรับแขก อันดูขัดกับเครื่องชามดินเผาโบราณของเกาหลี ที่วางโชว์อยู่บนชั้นไม้ในห้อง วุคนั่งรออินแนเปลี่ยนเสื้อผ้า อยู่บนโซฟาร์หุ้มหนังในห้องรับแขก วุคมองไปรอบ ๆ ห้อง นี่เป็นครั้งแรกที่วุคได้มีโอกาสเห็นบ้านของคนรวยและมีรสนิยมแบบนี้ ถึงแม้ว่าบ้านของวุคจะมีฐานะก็ตาม แต่นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นคนละระดับกันเลย ทันใดนั้นวุคก็เหลือบไปเห็นกระดานโกะชนิดตั้งพื้นสี่ขา วางอยู่ตรงมุมห้อง มันเป็นกระดานไม้คายะหนา 6 นิ้วราคาแพงที่หาดูได้ยาก แต่สิ่งที่ทำให้วุคประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ลายเซ็นที่อยู่ใต้กระดานเขียนไว้ว่า ?คิทานิ มิโนรุ 9 ดั้ง? คิทานิ มิโนรุ 9 ดั้งคืออาจารย์ของ ท่านโจ ผู้ก่อตั้งสมาคมหมากล้อมของเกาหลี แล้วพ่อของอินแนคือใครกันแน่ ถึงมีกระดานพร้อมลายเซ็นของคิทานิ 9 ดั้งได้ วุคเอื้อมมือเปิดโถใส่เม็ด ในนั้นเป็นเม็ดหมากขาวทำด้วยเปลือกหอยสีขาวบริสุทธ์ โอ้โห นี่คือเม็ดหมากเปลือกหอยของจริงหรือนี่ ?รู้จักวิธีเล่นเกมนี้ด้วยเหรอ? เสียงอินแนแว่วมาจากด้านหลัง เธอเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ?คุณพ่อฉันชอบเล่นหมากล้อมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดานชิ้นนี้ ท่านได้ซื้อมาจากตอนที่ไปญี่ปุ่นครั้งแรก คุณพ่อบอกว่าได้เล่นกับนักหมากล้อมมือหนึ่งของญี่ปุ่น แล้วก็ได้ลายเซ็นมาด้วย? ?จริงหรือนี่ คุณพ่อของเธอเคยเล่นกับคิทานิ 9 ดั้ง? วุคถามอย่างตื่นเต้น ?เธอคงจะรู้วิธีเล่นหมากล้อมจริง ๆ แน่ ๆ เดี๋ยวพอคุณพ่อกลับมาก็ลองเล่นด้วยกันสิ? ?เธอรู้หรือเปล่าว่า คุณพ่อเล่นอยู่ในระดับไหน? ?อืม... เห็นคุณพ่อบอกว่าอยู่ระดับ 3 ดั้งนะ ดูใบประกาศที่อยู่บนผนังสิ? ใบประกาศบนผนังเขียนว่า อยู่ในระดับ 3 ดั้งสมัครเล่น ออกให้โดยสมาคมหมากล้อมเกาหลี ในสมัยนั้นมีน้อยคนนักที่รู้ว่าสมาคมฯ มีการออกใบประกาศนียบัตรให้กับบุคคลสำคัญ ๆ ในประเทศด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่รู้กันอยู่ว่าจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการออกใบประกาศนี้ด้วย และแน่นอนว่าผู้ที่ได้ใบประกาศส่วนใหญ่ มักจะเป็นคนใหญ่คนโต หรือบรรดาเศรษฐีที่บริจาคเงินก้อนโตให้กับสมาคมฯ นอกจากนี้แล้วสมาคมฯ ก็ยังออกใบประกาศให้กับผู้มีฝีมือจริง ๆ ด้วย ซึ่งก็ทำให้วุคไม่มีความมั่นใจว่า จริง ๆ แล้วคุณพ่อของอินแนนั้นจะเก่งแค่ไหน คุณแม่ของอินแนเข้ามาในห้องรับแขก พร้อมกับถาดอาหารใบโต เมื่อทราบว่าวุคเล่นหมากล้อมเป็นแล้ว ก็ชวนให้อยู่ต่อ ?ไม่อยู่รอคุณพ่อของอินแนกลับมาก่อนเหรอ ขานั้นชอบเล่นกับคนหน้าใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ประเดี๋ยวคุณพ่อก็คงจะกลับแล้วล่ะ โชเฟอร์เพิ่งจะออกไปรับเมื่อครู่นี่เอง? คุณแม่กล่าวเชิญชวน ?ขอบคุณที่ชวนครับ แต่ผมต้องรีบกลับบ้านก่อนที่จะมืดอ่ะครับ? วุครีบปฏิเสธ กลัวว่าถ้ากลับบ้านดึกแล้วจะมีปัญหาทั้งๆที่ตนเองก็อยากจะทดสอบฝีมือกับคุณพ่อของอินแนเต็มแก่ ?บ้านเธออยู่ที่ไหนเหรอ...เดี๋ยวฉันให้คนขับรถไปส่งให้ก็ได้ ไม่ถึง 5 นาทีหรอก เดี๋ยวอยู่รอเล่นกับคุณพ่อของอินแนก่อนนะจ้ะ? ไม่นานเท่าไร คุณปาร์ค พ่อของอินแนก็กลับมาถึงบ้าน คุณแม่ก็เล่าเรื่องวุคเล่นหมากล้อมเป็นให้ฟัง ไม่ทันไรคุณปาร์คก็ยกกระดานโกะ มาตั้งอยู่ตรงหน้าวุค ?สวัสดี ฉันได้ยินมาว่าเธอเล่นโกะเป็นด้วย เรามาเล่นกันสักกระดานเถอะ อินแนก็เชียร์พ่อด้วยนะลูก? คุณปาร์คเข้ามาชวนเล่นอย่างไม่พูดพล่ามทำเพลง ?ไม่หรอกค่ะพ่อ หนูไม่เข้าข้างฝ่ายไหนคะ? อินแนตอบอย่างอารมณ์ดี ?เล่นโกะน่ะ ไม่จำเป็นต้องมีกรรมการก็ได้ เอาเถอะ เธออยู่ระดับไหนล่ะ? คุณปาร์คถามวุค ?เอ่อ...ผมอยู่ที่ 1 คิวครับ? ?1 คิว!!! ฉันแย่แน่ ๆ วันนี้ เธอนี่ไม่ได้แค่เล่นเป็นนะ แต่เล่นเก่งด้วยสิ งั้นเดี๋ยวฉันเล่นดำนะ? ?แต่...ท่านอยู่ 3 ดั้งนี่ครับ? วุคตอบ ?ไม่ต้องสนใจหรอก นั่นมันปลอม จริง ๆ แล้วฉันเองน่าจะอยู่สัก 2 คิวละมั๊ง? ในที่สุดวุคก็โดนบังคับให้เล่นขาวจนได้ ดูเหมือนว่าคุณปาร์คจะไม่สนใจหรอกว่าจะมีเพื่อนชายของลูกสาวมานั่งอยู่ในบ้าน แถมยังชอบกับการเยี่ยมเยือนของวุคในครั้งนี้ด้วย ระหว่างที่เล่นคุณแม่ของอินแน ก็เข้ามาเสริฟชาร้อนให้กับคุณปาร์ค แล้วก็พูด ?ท่าทางลูกสาวเราจะชอบหนุ่มคนนี้จริง ๆ นะคุณ ฉันยังไม่เคยเห็นอินแนชวนผู้ชายคนไหนมาบ้านเลย? ?ถ้าเป็นงั้นจริงละก็ ลูกเราก็คงจะชอบนายคนนี้จริง ๆ สิ อินแน? ?คุณพ่อละก็..? วุคให้รู้สึกประหลาดกับการสนทนากันอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับเพื่อนชายของลูกสาวในครอบครัวนี้ ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับครอบครัวของตน ไป ๆ มา ๆ ฝีมือของคุณปาร์คก็ใช่ว่าจะเก่งกาจมากนัก วุคสามารถที่จะต่อให้ 2 เม็ดอย่างสบาย ๆ แต่ทว่าอยู่ดี ๆ จะมาชนะอย่างน่าเกลียดกับพ่อของเพื่อนหญิงที่เพิ่งจะรู้จัก ก็คงจะไม่เป็นการดีแน่ วุคตั้งใจว่าจะเอาชนะสักแต้มเดียวไม่ให้น่าเกลียด ในขณะที่วุคกำลังคำนวนแต้มเพื่อที่จะปรับเกมให้สูสีนั้น คุณปาร์คก็ยอมแพ้ ?อินแน ลูกรู้มั๊ยว่าเพื่อนคนนี้ของลูกนี่ไม่ได้เก่งธรรมดา แต่เก่งระดับอาจารย์เชียวล่ะ? ?ท่านครับ แต้มบนกระดานตอนนี้ก็สูสีอยู่นะครับ? ?ฉันเคยเล่นกับโปรมาเยอะ ฉันรู้ดีเวลาที่คนเก่ง ๆ พยายามที่จะอ่อนข้อให้เพื่อมารยาท ฉันว่าเธอน่าจะมาเป็นอาจารย์ฉัน เล่นหมากต่อให้ฉันสัก 3 เม็ดจะดีกว่า? ?งั้นก็ชวนวุคมาบ้านบ่อย ๆ สิคะ? ?แน่นอนละ แต่มาถึงนี่แล้วพ่อคงไม่ปล่อยให้เขาไปอยู่กับลูกแน่ ? ?งั้นหนูก็จะเรียนโกะด้วยคะ? ?ยังงี้ก็ไม่ดีสิ ก็หนูได้เจอกับเขาบ่อยแล้วนี่นา... เอ่อ เธอชื่อวุคใช่มั๊ย เรามาเล่นกันอีกกระดานดีมั๊ย คราวนี้ต่อให้ฉันสัก 3 เม็ดนะ? ?ผมก็อยากจะเล่นต่อครับ แต่ว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว? ?กี่โมงกี่ยามแล้วนี่ สี่ทุ่มครึ่งแล้วเหรอ งั้นเดี๋ยวฉันจะเรียกคนขับรถให้นะ? ?ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมนั่งรถเมล์กลับเองก็ได้? ?ไม่ได้ ๆ เป็นเพื่อนของอินแนทั้งที ถ้าฉันดูแลไม่ดีเดี๋ยวอินแนก็ก่อเรื่องหรอก? ?คุณพ่อ น่ารักที่สุดเลยค่ะ? อินแนโผเข้าไปกอดพ่อ แล้วก็หอมแก้มให้หนึ่งฟอด พี่สาวของวุคไม่เคยได้มีโอกาสเข้าไกล้พ่อได้เกินรัศมี 1 เมตรเลย แต่คุณปาร์คกลับยอมให้ลูกสาวหอมแก้มนี่ ยิ่งทำให้วุคประหลาดใจมากขึ้นไปอีก อินแนได้นั่งรถไปส่งวุคที่บ้านด้วย ระหว่างทางก็ได้เล่าเรื่องของครอบครัวของเธอให้ฟัง ?ปู่ของฉันเป็นเจ้าของบริษัทในเครือ G Group ท่านมีลูกชาย 2 คน พ่อของฉันเป็นคนเล็ก ตอนที่คุณปู่จะเกษียณตัวเองนั้นคุณพ่อก็เรียนหมออยู่ในอเมริกา แล้วก็จะให้พี่ชายของท่านรับช่วงต่อแต่ทว่ากิจการของคุณปู่ก็เติบโตใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนคุณลุงบริหารไม่ไหว คุณปู่ท่านก็เลยบังคับให้คุณพ่อกลับมารับช่วงกิจการต่อไป ส่วนคุณแม่ของฉันก็เป็นลูกสาวของบริษัทในเครือ S Group ซึ่งการแต่งงานของทั้งคู่ก็เป็นเรื่องของการเกี่ยวดองกันทางธุรกิจ ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองท่านไม่เคยชอบพอกันมาก่อน แต่ก็ดูเหมือนว่าท่านทั้งสองจะรักกันมาก คุณพ่อฉันเป็นคนที่รักครอบครัว และฉันเองก็เป็นลูกคนเดียว? หลังจากได้ฟังเรื่องเล่าจากอินแนแล้ว วุคก็ถึงบางอ้อว่าคงเป็นเพราะเหตุที่คุณพ่อของอินแน เคยอยู่อเมริกามาก่อน ก็เลยไม่เป็นคนเคร่งครัดกับธรรมเนียมปฏิบัติอย่างคนเกาหลีทั่วไป ครั้นเมื่อใกล้ถึงบ้านของวุค อินแนก็ยื่นกระดาษใส่มือให้ ?เบอร์โทรศัพท์ฉัน โทรมานะ? วุคเกือบจะให้เบอร์โทรศัพท์ที่บ้านของตนกับอินแนไปด้วย แต่นึกขึ้นมาได้ว่าถ้าหากมีผู้หญิงโทรมาหาที่บ้านแล้วรู้ถึงคุณฮวอนละก็คงจะมีปัญหาแน่ ๆ พอถึงบ้านก็เป็นอย่างที่คิดไว้ เมื่อคุณฮวอนรู้ว่าวุคไม่ได้อยู่ในห้องสมุดจนค่ำก่อนกลับบ้าน ก็เริ่มต้นอบรมสั่งสอนอีกหนึ่งยก เสร็จเรียบร้อย วุคก็รีบวิ่งขึ้นไปห้องนอนของตัวเองล้มตัวลงนอนโดยที่ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า ในใจก็คิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านพ้นไปในวันนี้ รูปหน้าอันน่ารักของอินแน กระดานโกะพร้อมลายเซ็นคิทานิ 9 ดั้ง ครอบครัวปาร์ค เบอร์โทรศัพท์ที่อินแนยื่นให้ มันยากที่จะข่มตาให้หลับลงได้ในคืนนี้ จบตอน ตอนที่ 8 พี่นัค สองเดือนต่อมาก็เข้าช่วงโรงเรียนปิดเทอมภาคฤดูหนาว ตลอดเวลาในช่วงปิดเทอมนี้ วุคไปเล่นโกะกับดงแทบทุกวันที่ วายซีคลับ นอกเหนือจากนี้ก็คือการพบปะกับอินแนที่บ่อยขึ้น ทว่าความก้าวหน้าในการพัฒนาฝีมือของวุคนั้นดูเหมือนจะหยุดอยู่กับที่ไม่ไปไหน วุคยังคงต้องถือหมากดำเล่นกับดงอยู่ต่อไป ทว่าในทางกลับกัน ความสัมพันธ์ของวุคกับอินแน ดูเหมือนจะพัฒนาได้ก้าวหน้าไปกว่าโกะหลายขุม ทั้งคู่นัดพบกันแทบจะทุกวัน หาไม่แล้ววุคก็จะโทรศัพท์ไปหาอินแน หรือไปพบที่บ้านของอินแน บางทีก็ออกไปดูหนังด้วยกันหรือเดินเที่ยวเล่นกันสองต่อสอง ถ้าวันไหนคุณปาร์คกลับบ้านมาเจอกับวุค ก็จะเล่นโกะกัน 2-3 กระดานโดยอินแนเป็นฝ่ายนั่งดู ถ้าวันไหนวุคอยู่ในวายซีคลับ อินแนก็จะไปนั่งรอจนกระทั่งวุคเล่นเสร็จเรียบร้อย การออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆอย่างดงและอิคูนั้น อินแนก็ไม่รังเกียจที่จะออกไปเที่ยวกับกลุ่มผู้ชาย 3 คน เพื่อนของวุคต่างก็อิจฉาที่วุคได้เจอกับอินแน ส่วนวุคเองก็ชอบอินแนมากพอๆกับที่อินแนชอบวุค ถ้าวันไหนวุคไม่ได้แต่งเครื่องแบบนักเรียนแล้วก็จะเดินจับมือกันไปกับอินแน สมัยนั้นกฏเหล็กข้อหนึ่งของโรงเรียนมัธยม K ที่วุคเรียนอยู่ ได้กล่าวถึงหากพบเห็นนักเรียนต่างเพศเดินจับมือกันโดยยังแต่งเครื่องแบบของโรงเรียนจะมีโทษถึงขั้นพักการเรียนโดยไม่มีกำหนด อย่างไรก็ตาม วุคก็ยังวิตกในเรื่องการหยุดพัฒนาฝีมือหมากล้อมของตัวเอง ขอเพียงแค่ตนเองได้พัฒนาฝีมือสูงขึ้นมาอีกสักขั้นเพื่อว่าจะได้เล่นแบบเสมอกันกับดงได้วุคก็ยินดีมากแล้ว ตัวของดงเองก็รู้สึกได้ถึงความกังวลใจของวุคที่เกิดขึ้น ?อย่าเพิ่งไปวิตกกังวลอะไรมากมายเลย เรื่องฝีมือจะพัฒนาหรือไม่ ฝีมือระดับนายแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพัฒนาฝีมือขึ้นไปได้แม้แต่เพียงครึ่งชั้น ถึงแม้ว่าเราจะฝีมือดีกว่านายนิดหน่อย แต่ว่าเราก็ยังมีฝีมือไม่แข็งพอที่จะสอนให้นายพัฒนาขึ้นไปได้มากกว่านี้ จากนี้ต่อไปหากนายต้องการพัฒนาฝีมือให้สูงขึ้น นายต้องหาอาจารย์ที่มีฝีมือสูงกว่านายสัก 2-3 ขั้น? ดงให้คำแนะนำ คนที่มีระดับฝีมือสูงขนาดนั้นก็มีแต่พวกมืออาชีพเท่านั้น ที่เป็นไปได้ แต่มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาคนระดับฝีมือขนาดนั้นมาสอน วุคก็ยังคงกังวลอยู่ดี ด้วยเหตุที่ความคิดอยากจะเป็นมืออาชีพ ได้ขยายมากขึ้นๆภายในใจของวุค มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พวก 1 คิวอยากจะก้าวข้ามผ่านจุดนี้ขึ้นไปเป็นมืออาชีพ แต่ในช่วงเวลานั้นเหล่ามืออาชีพทั้งหลายก็ใช่ว่าจะมีรายได้อะไรมากมาย หมากล้อมยังไม่ได้เป็นที่นิยมเท่ากับสมัยนี้ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะหาสปอนเซอร์สนับสนุนรายการแข่งขันทั้งหลายได้ ดังนั้นเหล่ามืออาชีพส่วนใหญ่จำเป็นต้องหางานพิเศษอย่างอื่นทำนอกเหนือจากการเล่นโกะ พวกที่หางานไม่ได้ก็ต้องไปเป็นนักพนัน เล่นโกะเพื่อหาเงิน ทั้งๆที่กว่าจะผ่านเข้าไปเป็นมืออาชีพได้ก็ต้องผ่านการแข่งขันอย่างสาหัสสากรรจ์ มืออาชีพใหม่ๆเกิดขึ้นมาได้แค่เพียงปีละ 4 คนเท่านั้น ความต้องการที่จะขึ้นเป็นมืออาชีพนั้น เป็นเรื่องของความภูมิใจเป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องของรายได้ ผู้เล่นระดับ 1 คิวโดยทั่วไปจะได้รับการยกย่อง และยอมรับจากคนทั่วๆไปถึงความเก่งกาจของตนบนสังเวียนกระดานหมากล้อม ด้วยเหตุนี้ก็ยิ่งเพิ่มพูนอีโก้ของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น อยากที่จะได้รับการยอมรับมากยิ่งขึ้นไปอีก ต่อมาก็อยากที่จะทดสอบวัดฝีมือของตนกับ 1 คิวคนอื่น ๆ เพื่อที่จะได้เป็น ?ซูเปอร์ 1 คิว? เพราะฉะนั้นการสอบผ่านเป็นมืออาชีพก็กลายเป็นการเติมเต็มให้กับความอยากของคนเหล่านี้ ด้วยเหตุที่ต้องการเป็นมืออาชีพ เหล่า 1 คิวทั้งหลายจึงทุ่มเทชีวิตให้กับการศึกษาพัฒนาฝีมือของตน ซึ่งทำให้ตนเองอยู่ในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัวก็ตาม คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจถึงเรื่องเหล่านี้ ต่างก็เรียกพวกที่อยากจะเป็นโปรว่า ?พวกเสียสติ? ตอนนี้วุคก็เริ่มที่จะกลายเป็นหนึ่งในพวกเสียสติเหล่านี้ พ้นจากช่วงปิดเทอมภาคฤดูหนาว ภายหลังโรงเรียนเปิดได้ไม่นานวุคก็เรียนจบชั้นม.5 ระหว่างช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนที่จะเปิดเทอมใหม่ โรงเรียนมีหยุดพักอีก 15 วัน ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่วุคจะต้องไปที่วายซีคลับตามเคย ในวายซีคลับเช้านี้ วุคเห็นดงนั่งเล่นอยู่ที่โต๊ะมุมห้อง ดงกำลังเล่นอยู่กับชายหนุ่มอายุประมาณ 20 ใส่แว่นตากรอบดำหนาเตอะ มันก็คงเป็นหมากชี้แนะที่ดงเล่นกับคนอื่นอยู่เป็นประจำเหมือนเคย วุคคิด แต่เมื่อวุคเดินเข้าไปใกล้แล้วกลับกลายเป็นว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นฝ่ายเล่นขาว และหมากกระดานนี้ยังเป็นเกมหมากต่ออีกด้วย ดงได้หมากต่อ 2 เม็ดจากชายผู้นี้ เมื่อพูดถึงดงแล้ว ดงเคยเล่นหมากต่อ 2 เม็ดกับพวกมืออาชีพระดับสูงในขณะที่เป็นวอนเซ็งอยู่ แพ้ชนะกันครึ่งต่อครึ่ง ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ชายหนุ่มผู้นี้คงจะเป็นมืออาชีพคนหนึ่งอย่างแน่นอน วุคพยายามนึกหน้าชายผู้นี้ จากนิตยสารโกะต่างๆ ที่เคยผ่านตาว่าเขาเป็นใครกันแน่ แต่ทว่าวุคก็นึกไม่ออกสักทีว่าเขาเป็นใคร หมากกระดานนี้จบลงในอีกชั่วโมงต่อมา ผลออกมาดงแพ้ไป 2 แต้ม ?รู้สึกว่านายจะพลาดช่วงปิดเกมไปนึดนึงนะ ตอนที่จับหมากสองเม็ดนี้กินเป็นโกเตะ ทำให้นายเสียความเป็นมือนำ ทำให้ขาวเล่นที่มุมได้ก็เลยแพ้ไป 2 แต้มครึ่ง...? ชายหนุ่มผู้นี้กำลังวิจารณ์หมากที่ตนเองเพิ่งจะเล่นจบไป ฟังดูเข้าใจยาก ก็แน่ละระดับที่ต่อให้ดงได้ถึง 2 เม็ดนี่ ส่วนดงเองก็นั่งเงียบ ดูเหมือนจะเสียใจกับความพ่ายแพ้ของตนในครั้งนี้ เสร็จเรียบร้อยแล้วดงเพิ่งจะเงยหน้ามาเห็นวุคเป็นครั้งแรก ?เฮ้..วุค มาอยู่ดูเกมตั้งแต่เมื่อไหร่? ?อืม...มาตั้งแต่ช่วงกลางเกมแล้ว ดง นายเล่น 2 เม็ดเกมนี้เหรอ? ?ใช่ โอ้..รู้จักพี่คนนี้หน่อย นี่คือพี่นัค, นัคยูน คิม เคยได้ยินชื่อหรือเปล่า? ?ไม่เคยอ่ะ ต่อให้นายได้ 2 เม็ดแบบนี้ พี่เขาเป็นโปรเหรอ? (มีต่อ...) --> ?เปล่าๆ ฉันไม่ใช่โปรหรอก ฝีมือตอนนี้ดงเล่นดำกับฉันได้แล้วไม่ต้องต่อ 2 เม็ดหรอกฉันว่านะ? ชายหนุ่มยิ้มให้กับวุค วุคยิ้มตอบกลับไปพร้อมกับยังสงสัยว่าไม่เป็นมืออาชีพแล้วต่อให้ดงถึง 2 เม็ดได้อย่างไร ?พี่นัค พี่ช่วยเล่นกับเพื่อนผมหน่อยสิ? วุครู้สึกขอบใจเพื่อน ที่ช่วยแนะนำให้เล่นด้วย ?ได้สิ เขาเก่งระดับไหนแล้วล่ะ? ?อืม... วุค ลองเล่น 4 เม็ดกับพี่นัคสิ? วุครู้สึกเหมือนโดนดูถูก หมากต่อ 4 เม็ดเหรอ ระดับอย่างเรายังไม่อยากเล่นต่อ 3 เม็ดกับคิทานิ, 9 ดั้งด้วยซ้ำ แต่วุคก็เปลี่ยนความคิดใหม่ เขาอาจจะฆ่าหมากขาวทั้งกระดานได้ ด้วยหมากต่อ 4 เม็ด วุครู้สึกชะล่าใจเล็กๆ แล้ววางหมากดำ 4 เม็ดลงบนกระดาน เกมก็เริ่มขึ้น วุคเล่นอย่างรวดเร็ว ด้วยความมั่นใจ นัคก็เล่นเร็วไม่แพ้กัน ดูเหมือนว่าจะเร็วกว่าวุคด้วยซ้ำ เกมเข้าสู่ช่วงกลางเกมภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที กลุ่มหมากของนัคกลุ่มนึงกำลังถูกโจมตี วุคหยุดคิดช้าลงอย่างรอบคอบ เพื่อที่จะจัดการฆ่าหมากกลุ่มนี้ให้ได้ เขาอยากจะจบเกมเกมนี้ให้เร็วที่สุด หลังจากประมวลความคิดอย่างละเอียดแล้ว เขาสามารถฆ่าหมากขาวกลุ่มนี้ได้เพราะเขามีลมหายใจมากกว่าขาวอยู่ 1 ลมหายใจในการดวลกัน วุควางหมากเม็ดต่อไปอย่างเห็นชัยชนะอยู่แค่เอื้อม แต่ทว่านัควางหมากตอบไปอย่างรวดเร็วอย่างที่วุคคาดไม่ถึง วุคหยุดคิดอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าจับกลุ่มขาวกินได้แน่ๆ ซึ่งก็แน่นอนวุคยังมีลมหายใจมากกว่าอยู่เหมือนเดิม ไม่มีความผิดพลาดอย่างแน่นอน วุควางหมากตอบกลับไปตามที่ตนเองอ่านหมากไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว นัควางหมากต่อไปอย่างที่วุคคาดเดาไว้ และแล้วกลุ่มหมากขาวก็โดนจับกินอย่างที่คาด แต่เกมยังไม่จบแค่ตรงนั้น จากการที่ขาวบังคับให้ดำจับกลุ่มหมากกินนั้น ได้ทำให้ขาวสร้างกำแพงขนาดใหญ่ขึ้นมา และด้วยกำแพงมหึมานี่เอง นัคได้โยนเม็ดหมากเข้าไปในกลุ่มหมากดำกลุ่มใหญ่ของวุคกลุ่มหนึ่ง และด้วยหมากขาวเม็ดนี้ ทำให้หมากดำกลุ่มนี่ตาย ไม่มีแม้แต่โอกาสอันน้อยนิดที่จะช่วยให้หมากดำกลุ่มนี้รอดไปได้ วุคไม่ได้คาดการณ์ถึงสิ่งนี้มาก่อน กลุ่มหมากขาวที่วุคเพิ่งจับกินไปได้นั้น ดูเหมือนว่าจะเล็กกว่ากลุ่มที่วุคเสียไปมากนัก วุคไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโยนหมากยอมแพ้ ในขณะที่ยอมแพ้ วุครู้สึกเสียดายที่ไม่ได้อ่านหมากให้รอบคอบ ?ดูเหมือนว่า นายจะประมาทกลยุทธสละหมากของขาว...? นัคให้คอมเมนท์ ที่สะดุดใจวุค จริงๆแล้วมันไม่ใช่ความผิดพลาดของวุคที่ไม่ได้ดูแลชีวิตของกลุ่มหมากดำกลุ่มใหญ่ให้ดี แต่ว่าทุกอย่างดำเนินไปตามแผนของนัค ?ฉันรู้สึกได้ถึงพรสวรรค์ในตัวนาย ถ้าหากว่านายได้ศึกษาเพิ่มเติมอีกสักหน่อย นายอาจไปถึงระดับโปรได้เชียวนะ... เอาอย่างนี้ไม่ดง เราออกไปหากาแฟกินกันดีกว่า? นัคเสนอการพักยก เขารู้สึกสบายใจหลังจากเล่นกับวุคจบ ทั้งสามคนได้เดินไปด้วยกันที่โรงน้ำชาข้างๆ มีชื่อเรียกว่า ?เดอะเลค(the Lake)? ที่เดอะเลค ดงเริ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับนัคให้วุคฟังอย่างที่วุคอยากจะรู้ นัคเคยผ่านเข้ารอบคัดเลือกเพื่อเป็นมืออาชีพได้หลายครั้ง และอีกหลายครั้งที่นัคเกือบจะผ่านได้เป็นมืออาชีพ เขาเป็น 1 คิวที่แข็งมากขนาดที่ระดับ 1 คิวทั่วๆไปจะต้องเล่นหมากต่อ 5 เม็ดกับนัค ในแมทช์ที่ต้องเล่นเดิมพันกัน ล่าสุดนัคเพิ่งจะผ่านเข้าไปถึงรอบสุดท้ายของการคัดตัวแทนประเทศในการแข่งขันระดับนานาชาติ เหตุที่นัคไม่ได้เป็นโปรนั้น ดงบอกว่าเป็นเพราะดวง ?ดวง... คนระดับฝีมืออย่างนี้แล้วยังต้องพึ่งดวงอีกเหรอ ดง? ?ใช่สิ คนเราต้องมีดวงทั้งนั้น...? นัคตอบคำถามที่วุคถามกับดง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปสู่ความเศร้าหมอง แล้วพยายามเปลี่ยนเรื่องพูด ?เรื่องพวกนี้ ฉันไม่ค่อยอยากจะพูดถึงมันหรอก มาคุยกันเรื่องอื่นเกี่ยวกับฉันดีกว่า ฉันชื่อเต็มๆว่า นัคยูน คิม ฉันเกิดปี 1948 ปีชวด ส่วนนายเกิดปี 1950 ปีขาล เราก็อายุไล่เลี่ยกัน ถ้าห่างกัน 2 ปีแล้วทำให้พวกนายรู้สึกไม่ดีที่จะเรียกชื่อฉันเฉยๆ ก็เรียกฉัน พี่นัคก็ได้? ทั้งคู่ได้กลายมาเป็นเพื่อนกันในที่สุด ดงจำเป็นต้องขอตัวไปทำธุระส่วนตัวก่อน แต่วุคกับนัคก็ยังคงนั่งคุยกันอยู่ในโรงน้ำชา ทั้งสองคนต่างก็มีเรื่องพูดคุยกันมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพื้นฐานชีวิตที่ต่างกัน ก็มีส่วนให้ทั้งคู่รู้สึกสนอกสนใจซึ่งกันและกัน แต่ทว่าการนั่งคุยกันเป็นชั่วโมงในโรงน้ำชา โดยสั่งกาแฟกินถ้วยเดียวนั้น ทำให้พนักงานเสิร์ฟรู้สึกไม่พอใจ และเริ่มออกอาการไม่พอใจให้เห็น ทั้งคู่เลยต้องรีบออกนอกร้าน วุคเสนอที่จะเลี้ยงข้าวกลางวันให้กับนัค เพราะเขาคิดได้ว่านัคเป็นผู้จ่ายค่ากาแฟ 3 ถ้วยเป็นจำนวน 150 วอน นัคคงเอาเงินค่าข้าวของตนมาจ่ายเป็นค่ากาแฟ วุคก็เลยชวนนัคไปกินหมี่ที่ภัตตาคารจีน นัคเอ่ยปากชวนวุคไปที่พัก หลังจากที่เดินออกจากภัตตาคารจีน ไม่มีเหตุผลที่วุคจะปฏิเสธ เขาอยากจะอยู่คุยกับนัคอีก (มีต่อ...) ในห้องเช่าบนเขา ในตำบล H ดูเก่าทรุดโทรมและเล็กราวกับรังหนู โต๊ะกาแฟเล็กๆ และม้วนผ้าห่มตรงมุมห้องก็เพียงพอที่จะทำให้ห้องนี้เต็มแล้ว พื้นที่ภายในห้องไม่ใหญ่พอที่จะบรรจุเฟอร์นิเจอร์ต่างๆเข้าไปได้ มันเพียงพอแค่ให้คนได้ล้มตัวลงนอนเท่านั้น การเปรียบเทียบได้เกิดขึ้นมาในใจของวุค ระหว่างห้องรับแขกบ้านคุณปาร์ค และตัวคุณปาร์คเอง ผู้ซึ่งฝีมือหมากล้อมอ่อนเชิงกว่าวุค 3 เม็ด และนัคผู้ซึ่งเก่งกว่าวุคมากกว่า 4 เม็ด ไม่ใช่เรื่องยากที่จะประเมินหมากล้อมกับตัวเงิน ว่าเป็นคนละเรื่องกัน ทั้งคู่นั่งลงบนพื้นตรงหน้าโต๊ะกาแฟ นัคมองไปเจอขวดโซจู อยู่ครึ่งขวด แล้วรินใส่แก้วพลาสติคให้กับตนและวุค ?ได้เวลาดื่มกันแล้ว? นัคเริ่มต้นบทสนทนา ?วุค... เชื่อฉันเถอะ ฉันไม่ได้พูดเพราะว่านายอยู่กับฉันสองคนตรงนี้ นายมีพรสวรรค์ทางด้านโกะจริงๆ พรสวรรค์ที่แม้แต่ดงก็ได้เพียงแต่ฝันถึงเท่านั้น...? นัคยกแก้วขึ้นดื่มทีเดียวหมด วุคก็ทำเช่นนั้นเหมือนกัน รู้สึกตื่นเต้นกับคำชมของนัค ?พี่นัคก็พูดชมเกินไป เราเพิ่งเคยเล่นกันแค่กระดานเดียวเท่านั้นเอง? ?ที่ฉันพูดอย่างนั้น ก็เพราะว่า...ฉันก็มีพรสวรรค์เหมือนกัน การเล่นของนายคล้ายคลึงกับฉันมาก จนฉันแปลกใจ แต่น่าเสียดายที่ในความคล้ายนั้น มันยังมีจุดเสียอยู่ แต่การมีพรสวรรค์แบบนี้ไม่ใช่จะมีทุกคน แต่ใช่ว่าคนที่มีพรสวรรค์แต่เพียงอย่างเดียวนั้น จะช่วยให้เขาขึ้นไปถึงระดับมืออาชีพได้ นายจะต้องศึกษาเพิ่มเติม... ที่ฉันพูดถึงดวงไปเมื่อเช้านี้ที่เดอะเลค มันก็ใช่ที่นายต้องอาศัยดวงด้วย แต่คนที่พยายามศึกษาพัฒนาฝีมือถึงระดับนั้นเท่านั้นที่จะมีสิทธิอ้างถึงดวงได้ พวกที่สอบตกส่วนใหญ่นั้นไม่ใช่ดวง แต่เพราะไม่ได้ศึกษามากพอที่จะผ่านจุดนั้นไปได้? ?ก็ถ้าพี่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ผมอยากถามพี่อีกถ้าพี่ไม่ว่าอะไร พี่ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยถึงเรื่องดวงของพี่ในการแข่งขัน? นัครินโซจู หยาดสุดท้ายลงในแก้วแล้วดื่มรวดเดียวหมด ?อืม...ลองคิดดูถึงคนที่เล่นไปจนถึงรอบสุดท้ายแล้วที่ที่ 2 ถึงสามครั้งติดต่อกัน ตอนที่สมาคมฯคัดตัวผู้เล่นแค่คนเดียว แล้วมาชนะที่ 3 ติดต่อกันอีก 2 ครั้งตอนที่สมาคมฯเปลี่ยนกฏมารับเพิ่มเป็น 2 คนสิ คิดยังไงล่ะ? นัคควรจะได้เป็นโปรไปนานแล้ว ถ้าตอนนั้นสมาคมฯเปลี่ยนกฏก่อนหน้าไปสักปี หรือสองปี ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรที่จะเอามาเปรียบ นอกจากคำว่าดวง ?บางครั้งฉันเองก็คิดไปว่ามันเป็นเรื่องของดวง แต่จริงๆแล้ว มันเป็นเรื่องของฝีมือที่ไม่เก่งพอที่จะเป็นที่หนึ่ง? ความเศร้าสลดได้แสดงออกมาให้เห็นบนใบหน้าของนัค แล้วเขาก็พูดต่อ ?นายจะต้องเริ่มศึกษาอย่างจริงจังตั้งแต่เดี๋ยวนี้ หาไม่แล้วนายก็จะย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหน และนายจะต้องสมัครเข้าแข่งรอบคัดเลือกด้วย จะเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ถ้านายมัวแต่รอจนตัวเองพร้อมเสียก่อน ที่จะเข้าร่วมการแข่งขัน นายควรจะสมัครเดี๋ยวนี้เลย ถึงแม้ว่าในรอบแรก นายจะแพ้ทุกกระดานก็ตาม? ?มีสามสิ่งที่จะช่วยให้ฝีมือของนายพัฒนารุดหน้าไปได้ สิ่งแรกก็คือคู่แข่งที่ดี ในการแข่งขันนายจะได้เจอกับคู่แข่งเก่งๆมากมายจากทั่วประเทศ ค่าสมัครเข้าแข่งนั้นจะต้องจ่ายเป็นเงิน 3,000 วอน ซึ่งดูแล้วมันก็เยอะสำหรับคนอย่างฉัน แต่ถ้าหากมันไม่เหลือบ่ากว่าแรงละก็ สมัครเถอะ การแข่งขันช่วงฤดูใบไม้ผลิก็จะมาถึงในเดือนมีนาแล้ว ครั้งนี้ก็คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้เข้าแข่ง... มันคงจะสนุกนะ ถ้าเราได้แข่งร่วมกันในครั้งนี้? ?การแข่งครั้งสุดท้าย...พี่จะล้มเลิกความคิดที่จะเป็นมืออาชีพแล้วหรือครับ ถ้าหากว่าพี่สอบไม่ผ่านครั้งนี้? ?ไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นเพราะว่าฉันโดนหมายเรียกให้ไปเป็นทหารในเดือนเมษาฯ ที่จะถึงนี้ เมื่อเข้าไปอยู่ในกองทัพแล้ว ฉันคงไม่มีโอกาสที่จะเข้าแข่งอีกต่อไปถึง 3 ปี หลังจาก 3 ปีแล้ว ใครจะรู้ว่าเป็นอย่างไร ฝีมือของฉันคงจะตกฮวบลงเพราะขาดการฝึกฝนที่ต่อเนื่อง และตอนนั้นก็คงจะมีคู่แข่งใหม่ๆ แข็งๆเกิดขึ้นมาอีกมาก ทำให้การแข่งขันยิ่งยากขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้แหละฉันก็เลยถือเอาการแข่งครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย? นัคพยายามที่จะฝืนยิ้มไปในขณะพูด เขาคงจะคิดว่าการแข่งขันครั้งที่ผ่านมาเป็นครั้งสุดท้ายของเขามากกว่า วุครู้สึกเสียใจไปกับนัคด้วย ?พี่เพิ่งจะบอกผมไปแค่ข้อเดียวเอง ถ้าข้อแรกคือคู่แข่งที่ดีแล้ว อีกสองข้อละครับ คืออะไร? ?อีกสองข้อที่เหลือก็คือ... ตำรา และอาจารย์ ฉันไม่คิดว่านายจะมีทุกอย่างครบทั้ง 3 ข้อที่ฉันได้พูดไปแล้ว? ?ผมก็เคยอ่านตำราอยู่หลายเล่มครับ... พวกนิตยสารโกะของสมาคมฯ, หนังสือหมากเป็นหมากตาย, โจเซกิ และก็หนังสืออื่นๆอีก? วุครู้สึกเหมือนโดนดูถูก ที่ตนเองถูกลดระดับเป็นพวก 1 คิวปลอมๆ ที่ไม่เคยอ่านตำรับตำราโกะเลย นัคยิ้มให้กับคำประท้วงของวุค ?พวกหนังสือพวกนั้นน่ะ มันไม่ใช่เป็นตำราของคนที่จะเป็นมืออาชีพ พวกนั้นมันเหมาะสำหรับให้คนอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน ฆ่าเวลาเท่านั้น ฉันจะให้นายดูถึงตำราที่แท้จริง? นัคเดินไปเปิดผ้าห่มที่มุมห้อง มีกล่องไม้กล่องหนึ่งอยู่ภายในนั้น แล้วนัคก็หยิบหนังสือออกมา 2 เล่ม เขายื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้วุคอย่างระมัดระวัง มันเป็นหนังสือเล่มหนาเขียนปกไว้ว่า ?บันทึกหมากของอู๋? ตัวหนังสือนั้นถูกเย็บเล่มในระบบเก่า แสดงให้เห็นว่าหนังสือเล่มนี้ได้ถูกพิมพ์ขึ้นมานานมากแล้ว เมื่อวุคเปิดหนังสือออกมาดู ปรากฏว่าภายในเขียนด้วยภาษาญี่ปุ่น ?ภาษาญี่ปุ่น!!! ผมอ่านหนังสือญี่ปุ่นไม่ออกครับ? ?ฉันก็อ่านไม่ออกเหมือนกัน นายไม่จำเป็นต้องอ่านพวกคอมเมนท์ หรือไม่ควรควรจะอ่านมันเลยด้วยซ้ำไป ในหนังสือบันทึกหมาก เพราะถ้านายอ่าน อย่างมากนายก็เล่นได้ดีเท่ากับคนที่เขียนคอมเมนท์เท่านั้น สิ่งที่นายต้องทำคือ เรียงหมากตามหนังสือแล้วก็ทำความเข้าใจด้วยตัวเอง เพราะงั้นมันถึงไม่สำคัญหรอกที่หนังสือจะเขียนด้วยภาษาญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งภาษาสเปน? ?นายเคยได้ยินชื่อของปรมาจารย์อู๋หรือเปล่า เขาถูกยกย่องให้เป็นเซียนโกะ เคียงคู่กับปรมาจารย์โดซากุด้วย พวกญี่ปุ่นนั้นก็ยกย่องชูซากุ ว่าเป็นเซียนโกะเหมือนกัน แต่สำหรับฉันแล้วเซียนโกะมีอยู่แค่ 2 คนเท่านั้นคือ ปรมาจารย์อู๋ กับโดซากุ เมื่อใดที่ฉันเรียงหมากของปรมาจารย์เหล่านี้ ฉันรู้สึกสะท้านไปถึงไขสันหลัง อันเป็นการยืนยันได้ว่าเขาเป็นเซียนอย่างแท้จริง แต่ฉันไม่เคยมีความรู้สึกอย่างนี้ตอนที่เรียงหมากของชูซากุเลย ถ้าหากว่าฉันรู้สึกได้กับชูซากุ ฉันอาจจะสอบผ่านเป็นโปรไปนานแล้ว? นัคกำลังพูดถึงคนที่วุคไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน วุครู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างในตำราเล่มนี้ และมันก็ไม่แปลกที่วุคจะไม่เคยได้ยินชื่อของคนเหล่านี้มาก่อน เพราะมันยากที่จะหาตำราภาษาญี่ปุ่นในเกาหลี แล้วนัคก็พูดต่อ ?หนังสือเล่มนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่ฉันมี ฉันไม่คิดว่านายจะหาจากที่ไหนได้อีกในเกาหลี ฉันอยากจะยกให้นาย นายรู้ไหมว่าทำไม เพราะฉันรู้สึกว่าเรามีอะไรคล้ายๆกัน ฉันรู้สึกครั้งแรกจากการที่เราได้เล่นกันเมื่อเช้านี้ ฉันหวังว่าอย่างน้อยเราคนใดคนหนึ่งคงจะผ่านไปเป็นมืออาชีพได้ ถ้าหากว่าฉันไปไม่ถึงดวงดาว ฉันถึงอยากจะให้นายได้หนังสือเล่มนี้ แล้วฝึกฝีมือให้เก่งกว่าเดิม? วุคพูดอะไรไม่ออก ?ถ้าหากว่าฉันไม่ได้เจอกับนาย หนังสือเล่มนี้ก็คงจะสูญหายไปในกองขยะ หลังจากที่ฉันไปเป็นทหาร ในนี้มีบันทึกหมากของปรมาจารย์อู๋อยู่ 300 เกม ฉันได้เรียงหมากตามหนังสือไปแล้วทั้งหมด 9 รอบ ถ้าหากว่านายได้เรียงหมากในหนังสือครบ 10 รอบเมื่อไหร่ นายก็ชนะฉันได้แล้ว ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ? นัคหัวเราะเศร้าๆ เขาได้เรียงหมากตามหนังสือถึง 9 รอบ รวมทั้งสิ้น 2,700 เกม ขนาดนี้แล้วก็ยังคิดที่จะยอมแพ้ แล้วยกหนังสือให้กับวุค ?นายไม่จำเป็นต้องมีหนังสือเล่มอื่นๆอีกต่อไป จากนี้สิ่งสำคัญข้อที่สามคือเรื่องอาจารย์ จริงๆแล้วการมีอาจารย์นั้นใช่ว่าจะจำเป็นมากไปกว่า 2 ข้อแรก การมีอาจารย์ชี้แนะอาจจะกระทบต่อการพัฒนาฝีมือของตัวเราเอง โดยเราจะเล่นเหมือนกับอาจารย์ของเราโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าหากว่านายต้องการอาจารย์ละก็ ฉันจะเป็นอาจารย์ให้นายเอง? คำพูดของนัคทำให้วุครู้สึกตื่นเต้น วันนี้วุคเพิ่งจะปฎิบัติตามข้อแนะนำไปได้ถึง 2 ข้อ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องยากที่จะเรียงหมากครบจำนวน 10 รอบ วุครู้สึกได้ถึงตัวเองจะมีโอกาสที่ฝีมือรุดหน้าขึ้นเทียบเคียงกับนัค ซึ่งแต่เดิมเคยรู้สึกกังวลที่ฝีมือตนไม่พัฒนาเลยแม้แต่ครึ่งเม็ด แต่ตอนนี้เขากลับได้โอกาสที่จะพัฒนาฝีมือได้สูงขึ้นถึง 5 เม็ด นัคหยิบหนังสืออีกเล่มขึ้นมา เล่มนี้บางกว่าเล่มที่แรกมาก ?หนังสือเล่มนี้ไม่เกี่ยวกับโกะ แต่เล่มนี้อาจจะช่วยให้นายพัฒนาได้เช่นเดียวกัน มันเป็นบันทึกบทกวี และเรื่องสั้นเขียนโดย เพื่อนของฉันเอง เขาเป็นนักหมากล้อมฝีมือดีเช่นกัน ทว่าด้อยกว่าฉันไปแค่ 1 เม็ด เขาก็เช่นเดียวกัน เคยพยายามที่จะสอบผ่านเป็นมืออาชีพ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ปีที่แล้วพ่อ แม่ของเขาได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่แคนาดา แล้วพาเขาไปด้วย น่าสงสารคนที่เล่นโกะ กับเขียนบทกวีภาษาเกาหลีแต่เพียงอย่างเดียว ...แล้วเขาจะอยู่ยังไงที่โน่น ฉันรู้สึกเสียใจกับเขา เขาคนนี้เก่งในเรื่องการเล่นหมากต่อ กับผู้เล่นที่อ่อนกว่า เขาสามารถต่อหมากกับพวกอ่อนกว่าได้มากกว่าฉันถึง 2 เม็ด คนส่วนใหญ่เรียกเขาว่า ?นักมายากล บนกระดานโกะ? ด้วยเหตุที่ว่าใครก็ตามที่ได้เล่นกับเขาแล้ว ก็เหมือนกับถูกสะกดจิตให้เดินตามอย่างที่เขาคิด? ?หนังสือเล่มนี้ ไม่ได้ถูกตีพิมพ์แต่อย่างใด เขารวบรวมเอาบทกวีที่เขาชอบ และเรื่องเล่าเกี่ยวกับโกะไว้ด้วยกัน ซึ่งก็มี 2 เรื่อง หนึ่งในนั้นมีเรื่องที่ชื่อว่า ?หมากกระดานโลหิต? ซึ่งเป็นเรื่องของนักโกะในสมัยช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ในญี่ปุ่น ซึ่งเขาได้แนบบันทึกหมากกระดานนี้ไว้ในหนังสือเล่มนี้ด้วย...อ้า...อยู่ตรงนี้นี่ไง นายลองอ่านเรื่องนี้ดูก่อนแล้วค่อยเริ่มเรียงหมาก มันจะสอนนายในเรื่องของเจตนารมณ์อันมุ่งมั่น นายจำต้องมีเจตนารมณ์ที่มุ่งมั่น พร้อมๆกับฝีมือที่แข็งแกร่งเพื่อที่จะผ่านด่านไปเป็นมืออาชีพได้? วุคถึงกับมือสั่นเมื่อได้จับหนังสือทั้งสองเล่มนี้ ด้วยความอยากที่จะเปิดอ่านมันในทันที นัคหยิบเสื้อคลุมออกมาเตรียมตัวที่จะออกไปข้างนอก ราวกับรู้ว่าวุคกำลังคิดอะไรอยู่ ?ฉันต้องรีบออกไปแล้ว จะต้องไปหาเงินจ่ายค่าเช่า ฉันต้องไปที่ตำบล Y ตอนหนึ่งทุ่ม? วุครู้สึกอยากรู้ขึ้นมาว่า นัคทำงานอะไร แต่ก็ไม่ได้ถาม ถามไปอาจไม่เป็นการเหมาะสม ?พี่นัค ผมเองก็คงต้องไปแล้ว วันหลังผมจะมาหาอีก? ?อย่าเสียเวลาเลย เพราะว่าฉันไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก เอาไว้ฉันไปหานายที่วายซีคลับ จะดีกว่า? ?ก็ดีครับ ขอบคุณสำหรับหนังสือทั้งสองเล่มนะครับ? นัคยิ้มที่เห็นวุคดีใจกับหนังสือของตน เมื่อวุคกลับถึงบ้าน ก็รีบเปิดอ่านเรื่อง ?หมากกระดานโลหิต? ในทันที ชื่อของผู้เขียนคือ ซุก วอนฮง เรื่องหมากกระดานโลหิต เป็นเรื่องสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ จบตอน....