วันพุธ, พฤษภาคม 21, 2551

หมากล้อม เกมส์แห่งอัจฉริยะ

อู๋ชิงหยวน หนึ่งในอัจฉริยะนักวางหมากล้อม ของจีน กล่าวว่า

"พวกท่านรู้จักความหมายของอักษรจีน ที่แปลว่า ตรงกลาง หรือไม่ อักษรที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วมีเส้นขีดแบ่งผ่ากลาง สิ่งที่ถูกแบ่งแยกออกเป็นซ้าย-ขวานั้นคือ หยินกับหยาง ส่วนเส้นตรงที่ผ่ากลางนั้น บ่งชี้ว่า จักรวาล หรือ เต๋า นั้นไร้รูป ไร้ขอบเขต จนต้องขีดเส้นผ่าออกมาจึงปรากฏเป็นรูป...

"ในหมากล้อมนั้น การบรรลุถึงสภาวะแห่ง "ตรงกลาง" นี้ เป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะผู้ใดก็ตามที่ค้นพบ "ตรงกลาง" นี้ได้ในกระดานหมากล้อมขณะนั้น เขาก็จะค้นพบตำแหน่งการวางที่ถูกต้องในขณะนั้น ซึ่งทำให้หมากทั้งหมดบนกระดานเกิดความปรองดองได้..."

"ลำพังแค่การค้นคว้าทางเทคนิคอย่างเดียว เราไม่สามารถที่จะเข้าถึงหรือบรรลุถึงสภาวะแห่ง "ตรงกลาง" นี้ได้ เพราะ "ตรงกลาง" นี้มันจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา พร้อมๆ กับหมากแต่ละหมากที่ได้วางลงไป ผู้ที่จะเข้าถึงสภาวะนี้ได้ จะต้องเป็นผู้ที่สามารถทำจิตของตนให้ใสกระจ่างดุจกระจกที่สามารถสะท้อนภูมิปัญญาอันล้ำเลิศของจักรวาลออกมาในการเดินหมากแต่ละหมากที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้"

และนั่นเหมือนคำอธิบายของหนังเรื่อง
The Go Master... ในตอนเปิดตัวเรื่องของหนังว่า ทำไมในการประลองหมากล้อมกับ นักเล่นฝ่ายญี่ปุ่น ในช่วงต้น ค.ศ.1930 เขาจึงใช้กลวางหมากตรงกลางกระดาน ความหมายไม่ได้หมายถึงตำแหน่งหมากที่ตรงกลางสถานเดียว แต่มันหมายถึง การวางหมากในตำแหน่งแห่งการประนีประนอม

สื่อนำการวางหมากนี้ไปตีความว่า จีน และ ญี่ปุ่น ซึ่งกำลังทำศึกในปี นั้น ซูเอี๋ยกันซะแล้ว




..."โกะ" คือ หมากกระดานชนิดหนึ่ง มีต้นกำเนิดจากจีน จีน เมื่อประมาณ 3000-4000 ปีมาแล้ว...ภาษาไทยเรียกโกะว่า "หมากล้อม" ภาษาจีนเรียกโกะว่า "เหวยฉี" (Wei Qi)ส่วนคำว่า "โกะ" เป็นภาษาญี่ปุ่น ที่นิยมเรียกตามภาษาญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่โกะรุ่งเรืองที่สุด ...ปัจจุบัน ประเทศที่มีผู้คนเล่นโกะกันมากที่สุดได้แก่ ประเทศเกาหลี , ญี่ปุ่น , จีน , ไต้หวัน รวมทั้ง สิงคโปร์กำลัง สนับสนุนอย่างมาก ให้ประชาชนเล่นโกะ


เหวยฉี เป็นที่นิยมเล่นกัน ในหมู่ ปัญญาชนชั้นสูง และขุนนาง ผู้บริหารประะเทศ ในสมัยนั้น ...เหวยฉี หรือหมากล้อม เป็นหมากกระดาน ประจำชาติจีน ถูกจัดเป็น 1 ใน 4 ศิลปะประจำชาติจีน เป็นภูมิปัญญาจีนแท้ ในขณะที่หมากรุกจีน ยังมีเค้าว่า รับมาจากอินเดีย และเพิ่งจะแพร่หลาย ในสมัยราชวงศ์ถังเท่านั้น

ต่อมา เหวยฉี ได้แพร่เข้าสู่ญี่ปุ่น และเกาหลี ...ที่ญี่ปุ่นนี้เอง ที่เป็นแผ่นดินทองของ "โกะ" ซึ่งเป็นคำที่ญี่ปุ่นใช้เรียก เหวยฉี หรือหมากล้อม

หมากล้อม หรือโกะ เป็นกีฬาที่มีกฎกติกาเพียงเล็กน้อย กติกาข้อหลักสำคัญที่สุดคือ "วางหมากให้ล้อมพื้นที่ว่างให้ได้มากกว่าคู่ต่อสู้" การเล่นนั้นพลิกแพลงได้มากมายมหาศาล ...หมากรุกนั้น ยังมีคนสามารถสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้ชนะนักหมากรุกแชมป์โลกได้ แต่แม้ว่า จะมีผู้พยายามสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์โกะ ให้มีฝีมือเก่งที่สุดเพียงไร ก็ทำได้เพียงแค่เทียบเท่าระดับฝีมือล่าง ๆ เท่านั้น โปรแกรมคอมพิวเตอร์โกะที่เก่งที่สุดในโลกในปัจจุบัน เทียบได้กับฝีมือระดับ 5 คิวเท่านั้น ซึ่งเป็นระดับฝีมือค่อนข้างต่ำ โกะมีระดับฝีมือคิว (ระดับฝึกหัด), ระดับดั้ง (ระดับอาจารย์) และระดับดั้งโปร (มืออาชีพ)

...โกะรุ่งเรืองอย่างมากในญี่ปุ่น ...สมัย โชกุน โตกุกาว่า ได้สนับสนุน ให้ ทหารเล่นโกะ เปลี่ยนวิธีการรบ ด้วยกำลัง เป็นการรบด้วยปัญญา และ ยังสนับสนุน ให้โกะแพร่หลาย มากยิ่งขึ้นอีก ...โชกุนโตกุกาว่า ได้ตั้งสำนักโกะขึ้น 4 สำนัก เพื่อคัดเลือก ผู้เป็นยอดฝีมือโกะ ของญี่ปุ่น โดยจัดให้สำนักทั้ง 4 คือ ฮงนินโบ , อิโนอูเอะ , ยาสุอิ และ ฮายาชิ ส่งตัวแทน มาประลองฝีมือ เพื่อชิงตำแหน่ง "เมย์จิน" ...จากการส่งเสริมโกะ ของญี่ปุ่น ทำให้อีกประมาณ 100 ปีต่อมา มาตรฐานฝีมือ นักเล่นโกะของญี่ปุ่น ก็ก้าวนำจีน ซึ่งเป็นต้นกำเนิด ของโกะ รวมทั้ง ประเทศเกาหลี ไปไกลแล้ว

ปัจจุบัน ทั่วโลก เล่นโกะ กันอย่างแพร่หลาย โกะ เรียกเป็นสากลว่า "Go" ...ปัจจุบัน โกะ แพร่หลาย ในกว่า 50 ประเทศ ทวีปออสเตรเลีย และ อเมริกาเหนือ ทุกประเทศ อเมริกาใต้ , ยุโรป , เอเชีย เกือบ ทุกประเทศ รวมทั้ง ประเทศไทย ในทวีปแอฟริกา แพร่หลายใน ประเทศ แอฟริกาใต้

ใน พ.ศ.2522 ได้เกิด "สมาพันธ ์หมากล้อม นานาชาติ" (International Go Federation) ขึ้น มีประเทศ สมาชิก เริ่มแรก 15 ประเทศ ปี 2535 เพิ่มเป็น 50 ประเทศ ประเทศไทย ได้เข้าเป็น สมาชิก เมื่อ พ.ศ.2526 ...ประชากร ที่เล่นโกะ ในจีน ประมาณว่ามี 10 ล้านคน , ญี่ปุ่น มี 10 ล้านคน , เกาหลี มี 10 ล้านคน (เกาหลี มีประชากร ทั้งหมด 44 ล้านคน ประชากร ที่เล่นโกะ มีถึง เกือบ 1 ใน 4 ของประชากร ประเทศ) , ในไต้หวัน มี 1 ล้านคน , สหรัฐอเมริกา มี 1 ล้านคน ...โกะ ในด้านการศึกษา มหาวิทยาลัย Princeton ใน สหรัฐอเมริกา ได้ศึกษา ปรัชญา ตะวันออก จากโกะ และ มหาวิทยาลัย Rochester , MIT , YALE , Kellox ก็บรรจุวิชาโกะ ในหลักสูตร MBA และในสิงคโปร์ ก็มีวิชาโกะ ในหลักสูตร ชั้นมัธยมด้วย


โกะจึงเป็นทั้งศาสตร์วิชาชั้นสูงที่ลึกซึ้ง และเป็นทั้งศิลปะที่สวยงาม ที่ออกมาจากความคิด จินตนาการของผู้เล่น
...คนจีนกล่าวว่า "การเล่นโกะ คือ การสื่อสารกันโดยไม่ต้องใช้ภาษา" ...การเล่นโกะให้เป็นนั้น อาจใช้เวลาศึกษากติกาต่าง ๆ เพียง 15 นาทีเท่านั้น แต่การจะเล่นโกะให้เก่งได้นั้น อาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเลยทีเดียว ...

อัจฉริยะ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ยังบอกว่า " ในความเรียบง่ายที่สุดแห่งโกะ กลับแฝงไว้ด้วยซับซ้อนที่สุด "



นักยุทธศาสตร์ ควรศึกษา "ตำราพิชัยสงคราม" ของซุนหวู่"
แต่หากอยากเป็นเหนือกว่านั้น ควรอ่านคัมภีร์ หมากล้อมสิบสามบท ของจางหนี่ ที่เขียนขึ้นในสมัยซ้อง คู่ไปด้วย

บทที่ 1 กระดานหมากล้อม

ตัวเลข 1 ถือเป็นจุดกำเนิดของสรรพสิ่งต่างๆ บนพื้นโลก จุดตัดบนกระดานทั้ง 361 จุด เศษหนึ่งคือจุด เทียนหยวน (จุด เท็นเง็น ในภาษาญี่ปุ่น) ตรงกลางกระดาน เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่ง จากจุดนี้เมื่อขยายวงออกไปทางทิศทั้งสี่ ก็จะได้ผลรวมของพื้นที่เป็น 360 จุด ซึ่งใกล้เคียงกับจำนวนวันในหนึ่งปีตามปฏิทินจันทรคติ (360 วัน) และองศาของวงกลมซึ่งมี 360 องศา

กระดานหมากล้อมแบ่งได้เป็น 4 มุม แต่ละด้านประกอบด้วยจุดทั้งหมด 90 จุด ถือเป็นสัญลักษณ์แทนฤดูกาลทั้งสี่ เม็ดหมากสีดำและสีขาวที่ใช้เล่นมีทั้งสิ้น 360 เม็ดในสัดส่วนที่เท่ากัน เปรียบเสมือน ธาตุหยิน และ ธาตุหยาง รูปทรงสี่เหลี่ยมของตัวกระดานเป็นตัวแทนของ ความสงบนิ่ง ขณะที่ความกลมของเม็ดหมากเป็นตัวแทนของ ความเคลื่อนไหว

ดังนั้น กระดานหมากล้อมจึงเปรียบเสมือนจักรวาลเล็กๆ อันกว้างใหญ่ไพศาล โดยที่ผู้เล่นคือผู้ที่เสกสรรค์เรื่องราวต่างๆ ขึ้นมาโดยผ่านเม็ดหมากสีขาวและสีดำ

บรรดาผู้รู้ทั้งหลายล้วนกล่าวว่า "ขอเพียงได้เจาะลึกและศึกษาหมากล้อมอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ผู้นั้นจะได้ค้นพบและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลาอย่างแน่นอน"

บทที่ 2 ความสำคัญของการวางแผน

ในการเล่นหมากล้อม ผู้เล่น ควรเริ่มเปิดเกมด้วยการวางหมากที่งาม พร้อม อาศัยกลยุทธ์อันแยบยลวางหมากอย่างแม่นยำควบคุมสถานการณ์ทั้งกระดาน ดังนั้น ผู้เล่นจึงควรวาดภาพแผนการเล่นไว้ในใจ และแสดงออกมาให้เห็นผ่านกลวิธีต่างๆ โดยยึดหลัก "แม้ยังไม่เปิดฉาบรบ แต่สามารถกำชัยชนะไว้ในมือ" การจะทำเช่นนั้นได้ต้องดำเนินกลยุทธ์การวางหมากที่ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบแล้ว หากมีบ่อยครั้งที่แม้จะตั้งใจวางแผนมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปดังคาด นั่นก็เป็นเพราะว่า ความมุ่งมั่น ของผู้นั้นยังไม่แรงกล้าพอ ผู้วางแผนอย่างละเอียดรัดกุมจะประสบชัยชนะ ผู้วางแผนโดยขาดความรอบคอบ ย่อมปราชัย นับประสาอะไรกับผู้ไม่เคยวางแผนล่วงหน้ามาก่อน

บทที่ 3 ในช่วงต้นกระดาน

เมื่อเริ่มเกมแข่งขัน ผู้เล่นควรพิเคราะห์ถึงผลได้ผลเสียที่จะตามมาทุกครั้ง ก่อนที่จะตัดสินใจวางหมากแต่ละหมากลงบนกระดาน โดยทั่วไปจะเริ่มวางหมากตรงบริเวณมุมทั้งสี่ของกระดาน ก่อนขยายไปสู่ด้านข้างและกลางกระดานตามลำดับ

การขยายฐานหมากต้องเหมาะสม ไม่ควรปล่อยให้เม็ดหมากวางเรียงติดกันหรือทิ้งห่างจนเกินไปนัก อย่าลืมว่า การเริ่มต้นที่ดีถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว

บทที่ 4 ช่วงสัประยุทธ์กลางกระดาน

ผู้เล่นควรวางหมากด้วยความระมัดระวังทุกฝีก้าว และครุ่นคิดถึงกลวิธีที่จะนำมาใช้อย่างรอบคอบ การขับเคี่ยวทางสติปัญญาซึ่งเต็มไปด้วยความซับซ้อน และลึกซึ้งที่ต้องอาศัยการครุ่นคิดอย่างละเอียดรอบคอบในเกมหมากล้อมนั้น มักเป็นการต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงพื้นที่บริเวณกลางกระดาน

ส่วนกลยุทธ์ที่ใช้วางหมากบริเวณข้างกระดาน จัดว่าไม่ยุ่งยากและซับซ้อนเท่าบริเวณกลางกระดาน ส่วนความยากของการวางหมากตรงมุมกระดานอยู่ในระดับปานกลาง

นักหมากล้อมที่เก่งกาจจะถือคติว่า "ยอมเป็นฝ่ายถูกกิน ดีกว่าการพลาดโอกาสเป็น มือนำ" แม้ว่าในความเป็นจริงผู้เล่นจะผลัดกันวางหมากคนละตาเดินก็ตาม

ในการโจมตีด้านซ้ายของกระดาน ก็พึงระมัดระวังด้านขวาของกระดานไปพร้อมๆ กันด้วย การเลือกโจมตีจึงควรคำนึงถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นทั้งกระดานให้ดีเสียก่อน

เมื่อกลุ่มหมากของฝ่ายตรงข้ามล้วนเป็นหมากรอด อย่าสิ้นเปลืองเม็ดหมากไปกับการวางหมากตัดฝ่ายตรงข้าม

กรณีที่กลุ่มหมากของตนปลอดภัยแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องวางหมากเพื่อเสริมความแข็งแกร่งอีก แต่หากตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเสริมหมาก ก็ควรรีบทำโดยด่วน สิ่งที่พึงระวังในการเสริมหมากก็คือ ควรทิ้งระยะห่างระหว่างเม็ดหมากที่นำมาเสริม

การพยายามกู้หมากที่กำลังจะตายให้กลายเป็นหมากรอดนั้น มีประสิทธิภาพด้อยกว่าการยอมสละหมากเม็ดนั้นๆ เพื่อประโยชน์ในการได้เป็นฝ่ายบุก หมากที่มีโอกาสรอดน้อย และยากต่อการกู้ย่อมสู้การเสริมหมากที่บริเวณอื่นไม่ได้

ในกรณีที่สถานการณ์ของตนเข้มแข็งกว่าฝ่ายตรงข้าม สิ่งแรกที่ควรทำคือ การเสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มหมากที่มีลมปราณเหลือน้อย

ถ้าคู่ต่อสู้อยู่ในสถานการณ์ที่มีหมากอ่อนแอ และแตกกระจาย อย่าเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามพลิกฟื้นสถานการณ์กลับมาได้เปรียบอีกครั้ง

วิธีการที่หลักแหลม น่าเลื่อมใสของการวางหมากคือ การไม่บุกโจมตีฝ่ายตรงข้าม แต่กลับเป็นฝ่ายได้เปรียบ การเปิดเกมที่ดีจะช่วยให้เป็นฝ่ายได้เปรียบ การอ่านหมากอย่างละเอียดถี่ถ้วนจะช่วยให้ไม่เสียเปรียบเท่านั้น แต่ ถ้าหากต้องการชัยชนะ ควรแสวงหาโอกาสที่คู่ต่อสู้คาดไม่ถึง

เมื่อผู้เล่นตกอยู่ในภาวะที่ไม่ค่อยดีนัก อย่าลนลาน ควรวางตนให้สงบ กลุ่มหมากที่ตัดสินใจวางเรียบร้อยแล้วควรกลับไปพิจารณาให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง โดยเฉพาะพื้นที่ในส่วนที่คิดว่าคู่ต่อสู้ไม่สามารถเข้ามารุกรานได้ ยิ่งจัดเป็นพื้นที่อันตรายซึ่งอาจเกิดความผิดพลาดอย่างไม่คาดคิด และไม่สามารถป้องกันได้

หากฝ่ายตรงข้ามวางหมากเสริมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความคิดที่จะเปิดฉากโจมตี ดังนั้น การมองข้ามการเสียหมากเล็กๆ น้อยๆ ไป สามารถหักเหความสนใจของฝ่ายตรงข้ามได้มากกว่า

การวางหมากแบบขอไปทีโดยขาดการไตร่ตรองเสียก่อน เป็นสาเหตุนำไปสู่ความพ่ายแพ้เสมอ เพราะฉะนั้น การวางหมากแต่ละหมากจึงต้องระมัดระวังเต็มที่เสมือนหนึ่งกำลังยืนอยู่ริมหน้าผา


บทที่ 5 ภาพลวงกับความเป็นจริง

เมื่อปะทะกันจนถึงเกมกลางกระดาน ผู้เล่นไม่ควรเลือกจู่โจมคู่ต่อสู้ในทุกตำแหน่ง เพราะจะส่งผลให้ตนเองมีจุดอ่อนหลงเหลืออยู่มากมาย ซึ่งจะทำให้หมากของตนมีความแข็งแกร่งลดน้อยถอยลงไป

หลังจากที่หมากขาดความแข็งแกร่ง ก็ง่ายต่อการผิดพลาดและยากที่จะรับมือฝ่ายตรงข้ามได้

ไม่ควรเข้าไปบีบหรือวางหมากใกล้คู่ต่อสู้จนเกินไปนัก ควรทำการขู่บริเวณพื้นที่ว่างของฝ่ายตรงข้ามอยู่ห่างๆ เพราะผลที่ได้จากการวางหมากประชิดกับคู่ต่อสู้คือ จะช่วยเสริมให้เม็ดหมากของฝ่ายตรงข้ามเกิดความแข็งแกร่งมากขึ้น ขณะเดียวกันหมากของตนก็เกิดช่องโหว่ หมากที่ไม่แข็งแกร่งพอจะง่ายต่อการถูกโจมตี แม้ว่าจะกลายเป็นหมากที่แข็งแกร่งในภายหลังก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนัก

จะจู่โจมอย่างสายฟ้าแลบ หรือจะโจมตีอย่างค่อยเป็นค่อยไป ควรปล่อยให้เป็นไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเล่น ไม่ควรยึดเอากฎเหล่านี้มาใช้อย่างตายตัว พึงยึดหลัก เมื่อสบโอกาสก็ควรลงมือจู่โจม หากโอกาสยังไม่อำนวยก็ควรอดใจรอ

บทที่ 6 รู้จักตนเอง

ผู้มีปัญญาย่อมสามารถคาดการณ์ผลที่จะเกิดขึ้นก่อนที่เรื่องราวจะบังเกิด ขณะที่ผู้โง่เขลายังไม่รู้แม้กระทั่งสาเหตุที่ก่อให้เกิดผลดังกล่าว

ดังนั้น การตระหนักถึงจุดด้อยของตน และล่วงรู้ถึงจุดเด่นของคู่ต่อสู้ ยอมปล่อยให้คู่ต่อสู้แสดงศักยภาพในขณะที่อำพรางจุดอ่อนของตนไว้ได้ก็จะสามารถเป็นผู้กำชัยชนะ

ผู้ใดรู้ว่า ณ เวลาใด ภายใต้เงื่อนไขใดที่สามารถลงมือโจมตีหรือไม่โจมตีฝ่ายตรงข้ามได้ ผู้นั้นก็จะได้รับชัยชนะ

เมื่อตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่หมากไม่เกาะกลุ่มกัน และรู้ว่าควรทำอย่างไรให้หมากกลับมาเชื่อมโยงกันได้ หรือเมื่อตนเองกำลังอยู่ในสภาวะที่กำลังได้เปรียบ และมีอิทธิพลอย่างสูงแล้วรู้ว่าควรจะวางหมากอย่างไร

หากผู้ใดสามารถรับมือกับสถานการณ์ทั้งสองกรณีนี้ได้ ชัยชนะก็จะตกอยู่ในมือขวา หลังจากการวางหมากสัมฤทธิผลจนเป็นเหตุให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถกลับมาท้าทายและเป็นฝ่ายบุกโจมตีได้ เช่นนี้ก็ง่ายต่อการกำชัยชนะ ไม่ต้องผ่านการฟาดฟันกันอย่างดุเดือด แต่ก็สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ได้

บุคคลที่รู้จักตนเองเป็นอย่างดีในทุกๆ ด้าน จึงเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเป็นเลิศโดยแท้จริง

บทที่ 7 การประเมินสถานการณ์

การวางหมากระหว่างเกมการเล่น ควรให้หมากที่วางมีความเชื่อมโยงกัน นับตั้งแต่ต้นเกมจนถึงท้ายเกม และพยายามช่วงชิงสิทธิ์ในการเป็นฝ่ายบุก

หลังโจมตีเข่นฆ่าหมากคู่ต่อสู้เรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าผลแพ้ชนะยังไม่ถึงที่สุด ก็ไม่ควรละความพยายามในทุกตำแหน่งบนกระดาน ในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายได้เปรียบควรใช้กลยุทธ์ป้องกันการบุกโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามในบริเวณที่เป็นช่องโหว่

ในสถานการณ์ที่ไม่สู้จะดีนัก ผู้เล่นควรกล้าวาง "หมากได้เสีย" ที่ส่งผลต่อการได้เสียของรูปเกม โดยมีปณิธานอันแน่วแน่ต่อการเข้าสู้รบกับฝ่ายตรงข้าม

การวางหมากไต่ตามเส้นขอบกระดาน แม้จะไม่เกิดความเสี่ยงอะไร แต่อาจนำความพ่ายแพ้มาสู่ตนได้ ฝ่ายที่มีเม็ดหมากไม่แข็งแกร่ง พอเสริมความแกร่งกลับยิ่งเป็นการฝังตัวเอง

ผู้ที่รีบร้อนจะเป็นฝ่ายกำชัย มักไม่สามารถขยายอาณาเขตให้มากดังใจหวัง และต้องพบกับความพ่ายแพ้ในที่สุด

กรณีที่หมากของทั้งสองฝ่ายต่างโอบล้อมกันอยู่ ควรปิดลมหายใจจากภายนอกก่อน หากมีกลุ่มหมากอ่อนแอ ไม่มีพลังช่วยเหลือจากหมากกลุ่มอื่นรอบด้าน ก็ไม่ควรละมือไปเดินที่จุดอื่น

เมื่อกลุ่มหมากถูกโจมตีจนกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ก็ไม่ควรดันทุรังวางหมากต่อไปจนถึงที่สุด ควรรอจังหวะ และโอกาสที่จะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง นี่คือ "การเดินเกมโดยไม่ขยับหมาก" และเป็น "การวางหมากที่เหมือนไม่ได้วาง" รอโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามวางหมากพลาดเองเพียงแค่ครั้งเดียว โดยหันเปลี่ยนไปเล่นที่กลุ่มหมากบริเวณอื่นก่อนเพื่อรอโอกาส

คัมภีร์อี้จิง กล่าวไว้ว่า เมื่อตกอยู่ในภาวะคับขัน ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นโดยธรรมชาติ เมื่อการเปลี่ยนแปลงมาถึง ก็คือโอกาสกำลังจะมาถึง ทำให้สามารถพัฒนาต่อไปได้ โอกาสแห่งชัยชนะย่อมติดตามมา

บทที่ 8 การอ่านใจ

การอ่านใจคนคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้มีความสุขุมล้ำลึกนั้น ออกจะเป็นเรื่องที่ยาก แต่หากมองย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีตซึ่งส่งอิทธิพลต่อพฤติกรรมเขา จะทำให้ทราบว่า บุคคลผู้นั้นกำลังคิดอะไรอยู่ได้

การเป็นฝ่ายพ่ายแพ้หรือฝ่ายชนะจัดเป็นเหตุการณ์ที่สามารถคาดการณ์ได้ ผู้ที่ไม่วางหมากด้วยความเลินเล่อ ไม่จู่โจมอย่างมุทะลุดุเดือดเกินกำลัง ย่อมเป็นผู้ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลเสมอ แค่วางหมากของตนในตำแหน่งที่มั่นคงและไร้ช่องโหว่ ก็สามารถชนะได้อย่างสบายๆ

พึงตระหนักว่า การเข่นฆ่าเม็ดหมากของคู่ต่อสู้อย่างบ้าระห่ำจะมีแต่เสียไม่มีได้

หลังจากพ่ายแพ้ในเกมแล้ว ควรนำหมากเกมนั้นมาพิจารณาดูอีกครั้งเพื่อหาสาเหตุแห่งความปราชัย ควรเสาะหาข้อบกพร่องของตนในจุดต่างๆ หลังจบเกมการแข่งขันทุกครั้ง การไม่สามารถค้นหาจุดบกพร่องของคู่ต่อสู้ถือเป็นผลเสียต่อการเล่นในคราวต่อๆ ไป

ระหว่างการเล่นเกมควรตั้งสติและทำจิตใจให้แน่วแน่จนเกมการแข่งขันจบลง การไม่รวบรวมสมาธิปล่อยให้จิตใจวอกแวกไปกับเรื่องต่างๆ จะทำให้ไม่สามารถรวบรวมความคิดให้เป็นหนึ่งเดียวได้

หากขาดการฝึกฝนจะสามารถยกระดับฝีมือการเล่นได้อย่างไรกัน ผู้ที่สามารถค้นพบจุดเด่นของคู่แข่งและให้ความยกย่อง ผู้นั้นต่อไปจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง

การคิดว่าฝ่ายตรงข้ามไร้ฝีมือ และวางหมากด้วยความประมาทจะเป็นฝ่ายชนะได้อย่างไรกัน ระหว่างการเล่นควรควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในความสงบ ทำให้คู่ต่อสู้ไม่สามารถล่วงรู้ถึงจุดอ่อนของตน

พึงตระหนักไว้เสมอว่า ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนแต่มีสติปัญญาทั้งสิ้น


บทที่ 9 ธรรมะ และอธรรม

การบัญชาการกองทัพในยามออกศึก ควรทำอย่างสง่าผ่าเผย แม้หมากล้อมจะเป็นเพียงการละเล่นชนิดหนึ่ง แต่ก็เป็นศิลปะชั้นสูงที่สามารถผสานเอากลยุทธ์ที่ใช้ในการเล่นเกมกับกลยุทธ์ในการศึกเข้าไว้ด้วยกันได้

ขณะเล่นหมากล้อม ทั้งสองฝ่ายเผชิญกันอย่างซึ่งๆ หน้า ผู้เล่นพึงมีจริยธรรมในขณะเล่น ใช้วิธีการที่ใสสะอาด หลีกเลี่ยงแผนการอันสกปรก ที่ใช้เทคนิคลวงโลก หรือการสร้างความรำคาญใจให้แก่คู่ต่อสู้

บทที่ 10 ช่องโหว่เล็กๆ น้อยๆ

เมื่อถูกฝ่ายตรงข้ามจับกินเม็ดหมากอย่างต่อเนื่องก็ไม่ควรร้อนใจ การเลือกตัดสินใจที่จะสละหมากหรือไม่นั้น ให้พิจารณาจากรูปเกมที่จะบังเกิดขึ้นในตาเดินต่อๆ ไป

สิ่งที่ควรทำเมื่อต้องการจะขยายอิทธิพลออกมานอกเขตพื้นที่ของตน คือการโจมตีหมากที่อยู่โดดๆ ของคู่ต่อสู้

การบุกโจมตีด้านขวา ควรทำหลังการบุกโจมตีด้านซ้ายเป็นผลแล้ว สำหรับหมากที่กำลังย่ำแย่นั้นควรเสริมให้แข็งแกร่งก่อน จากนั้นจึงค่อยเริ่มบุกโจมตีอย่างช้าๆ แต่หมากที่ยากต่อการต่อรองก็ควรจะปล่อยมันทิ้งไป

การวางหมากแบบอ่อนข้อให้จะเกิดขึ้นหลังจากที่โจมตีฐานที่มั่นของฝ่ายตรงข้ามแตกกระจายได้เป็นผลสำเร็จ ส่วนหมากที่อีกฝ่ายอ่อนข้อให้ก็ไม่ควรทำการโจมตีในทันที

การบุกโจมตีที่มีเป้าหมายที่แน่นอน ควรกระทำเมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถรับมือได้เท่านั้น

บทที่ 11 ชื่อกระบวนท่าต่างๆ ในหมากล้อม

การเข้าใจศัพท์ทางเทคนิค หรือชื่อกระบวนท่าหลักๆ ในหมากล้อมจะช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ของเกมได้สะดวกยิ่งขึ้น ศัพท์เทคนิคหลักๆ ที่ใช้ในหมากล้อมนั้น ได้แก่

แทง กระโดดหนึ่งเข้ากลางกระดาน
ตาม้า ใช้หัวกระแทก เชื่อม
ต่อหมาก ทแยง ยืน
โดดหนึ่งด้านข้าง สกัดจุด หนีบ
ตัด ดักด้วยตาข่าย ไล่ล่าเป็นขั้นบันได
โคะ ฆ่า กรอกยาพิษ เป็นต้น

ไม่มีอะไรน่าแคลงใจกับชื่อท่าต่างๆ ในหมากล้อม เพราะสรรพสิ่งต่างๆ ล้วนมีชื่อเรียกของมัน

บทที่ 12 ระดับฝีมือในหมากล้อม

ระดับฝีมือในหมากล้อมสามารถแบ่งออกได้เป็น 9 ระดับจากต่ำไปสูงดังต่อไปนี้

ระดับที่ 1 "ยังด้อยความคิด"

นักหมากล้อมในกลุ่มนี้ยังไม่ค่อยมีฝีมือนัก ยังต้องเลียนแบบกลยุทธ์การวางหมากของผู้อื่นอยู่ ยังไม่มีข้อคิดเป็นของตนเอง ก็ยังจัดว่ามีฝีมือดีกว่าผู้ที่เพิ่งเรียนหมากล้อมเบื้องต้น

ระดับที่ 2 "ยังขาดประสิทธิภาพ"

นักหมากล้อมในระดับนี้ถือว่ามีความสามารถพอตัว แต่ผู้เล่นในระดับนี้บางครั้งยังปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามจับเม็ดหมากไปถึงห้าเม็ด ถือเป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง เพราะทำให้โอกาสที่จะไขว่คว้าชัยชนะค่อนข้างเลือนราง

ระดับที่ 3 "ยังใช้กำลังเข้าปะทะ"

ผู้ที่มีฝีมือในระดับนี้ มักจะไม่วางแผนลึกซึ้ง เน้นหนักไปที่การบุกโจมตีคู่ต่อสู้เท่านั้น

ระดับที่ 4 "มีไหวพริบ"

ผู้ที่มีฝีมือในระดับนี้ แม้ยังไม่สามารถอ่านเกมทั้งกระดานได้ แต่ก็รู้วิธีขยายพื้นที่ในหมากกลุ่มต่างๆ แล้ว

ระดับที่ 5 "ใช้สติปัญญา"

ผู้ที่มีฝีมือในระดับนี้ แม้จะยังไม่เข้าถึงหลักการเล่นหมากล้อมอย่างถ่องแท้ แต่ในขณะแข่งขันก็ยังสามารถคาดการณ์ถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามรูปเกมได้

ระดับที่ 6 "จับแก่นแท้ของหมากล้อมได้แล้ว"
ผู้ที่มีฝีมือระดับนี้ เป็นผู้รู้เกี่ยวกับข้อคิดต่างๆ ในการเล่นหมากล้อมอย่างเข้าถึงแก่นแท้ได้แล้ว
ระดับที่ 7 "มีฝีมือสูง"

ผู้ที่มีฝีมือระดับนี้ถือว่าอ่านเกม และวางแผนถี่ถ้วน รัดกุม ไม่มีข้อบกพร่องได้แล้ว

ระดับที่ 8 "เซียนหมากล้อม"

เป็นผู้ที่มีฝีมือในระดับเซียน หรือระดับยอดฝีมือที่สามารถมองสถานการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

ระดับที่ 9 "เทพเจ้าหมากล้อม"

เป็นผู้ที่มีฝีมือระดับสูงสุด รู้กระจ่างทุกอย่าง ดุจการวางหมากของเทพเจ้าแห่งหมากล้อม (หัตถเทวะ)

บทที่ 13 สัพเพเหระ

ปัญหาต่างๆ ต้องพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงระหว่างเกมแข่งขัน ไม่ควรคิดหักโหมในหมากใดหมากหนึ่งจนเกินไปนัก มิฉะนั้นจะทำให้เหนื่อยล้า เป็นผลเสียต่อสุขภาพ และส่งผลต่อการเล่น

ควรหมั่นฝึกฝีมืออย่างสม่ำเสมอ เพราะการห่างหายจากการเล่นไปนานจะทำให้ไม่คุ้นมือ และเป็นเหตุนำไปสู่ความพ่ายแพ้ได้

ฝ่ายชนะไม่ควรคุยโว ฝ่ายพ่ายแพ้ก็ไม่ควรออกอาการและแสดงสีหน้า การยกย่อง และรู้จักแพ้ชนะ เป็นคุณสมบัติของผู้มีการศึกษา ผู้ที่มีความสามารถในระดับสูงไม่ควรจะยกตนข่มท่าน ส่วนผู้ที่ด้อยความสามารถก็ไม่ควรจะดูถูกตัวเองจนเกินไป

ควรจะรักษาระดับจิตใจให้สงบและนิ่ง ผู้ที่มีความนิ่งมักจะเป็นฝ่ายกำชัยเสมอ

ผู้ที่มีฝีมือสูง วัดกันที่ แม้จะไม่ได้เป็นฝ่ายบุกโจมตี แต่กลับตั้งตนอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบกว่าได้

เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบก็ไม่ควรลำพองตน มิฉะนั้นสถานการณ์อาจพลิกผันได้ เพราะ ผู้ที่หยิ่งทะนงมักจะพบกับความพ่ายแพ้ ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็มีให้เห็น

ผู้ที่มีปัญญานั้น แม้ในยามปลอดภัยก็ไม่ประมาท ในขณะที่ทุกอย่างราบรื่น ก็ยังคงมีความระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา



รวมแล้วพอสรุป จากได้ว่า....

เกมหมากล้อมมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนกลยุทธ์มากมายขนาดนี้ ก็เพราะว่าการเล่นหมากล้อม ทำให้ผู้เล่นต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ดังต่อไปนี้เสมอ กล่าวคือ

(1) เราจะใช้ทรัพยากรและเวลาที่มีอยู่จำกัดของเราไปบรรลุเป้าหมายของเราได้อย่างไร

(2) เราจะบรรลุทั้งความยืดหยุ่น และความมีใจจดจ่อในการทำศึกไปพร้อมๆ กันได้อย่างไร

(3) เราจะประเมินสถานการณ์แยกแยะผลได้ผลเสียของแนวทางต่างๆ ที่มีให้เลือกได้หลายทางได้อย่างไร

(4) การริเริ่มในโครงการไหนที่ควรสานต่อ และโครงการไหนที่ควรหันกลับมาทบทวนว่าควรถอนออกหรือไม่

(5) เมื่อไหร่ถึงควรจะบุกลุยไปข้างหน้า และเมื่อไหร่ควรจะอดกลั้นรอคอยจังหวะโจมตี

(6) เมื่อไหร่ควรเป็นฝ่ายนำเกม และเมื่อไหร่ควรแค่เกาะตามสถานการณ์ไปก่อน

(7) เราจะรุกเข้าไปอย่างไรในสถานการณ์ที่ฝ่ายตรงข้ามมีอิทธิพลเข้มแข็ง

( ถ้าคู่แข่งของเขาเป็นฝ่ายบุกรุกเข้ามาในเขตอิทธิพลของเรา ฝ่ายเราควรจะรับมืออย่างไรดี

(9) ถ้าเรามีจุดแข็งในสินค้าบางตัว และก็มีจุดอ่อนในสินค้าอีกกลุ่มหนึ่ง เราจะจัดสรรทรัพยากรของเราอย่างไรดีให้เหมาะสม เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนของกลุ่มธุรกิจของเราโดยรวม

(10) เมื่อไหร่ที่เราควร "เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต" และเมื่อไหร่ที่เราควรกล้าลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เพื่ออนาคต

(11) เมื่อสถานการณ์ผันแปรไปอย่างรวดเร็ว เราจะมีแผนปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสมได้อย่างไร

เกมหมากล้อมเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมมากในการที่จะสอนเราว่า เราจะชนะได้อย่างไรในสถานการณ์ที่เราไม่มีความได้เปรียบใดๆ เลย นอกจากความสามารถในการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีกลยุทธ์เท่านั้น แล้วถ้าเปรียบกับ เกมหมากรุกฝรั่ง (chess) เล่า เกมหมากรุกฝรั่งสามารถทดแทนเกมหมากล้อมในการช่วยฝึกฝนเรื่องกลยุทธ์ให้แก่เราได้หรือไม่?

เกมหมากรุกฝรั่ง ซึ่งเป็น เกมของเหล่าพระราชา (the game of kings) (ในขณะที่เกมหมากล้อมเป็น เกมของเหล่าอัจฉริยะ) ก็เป็นเกมที่ยอดเยี่ยมมากเช่นกันในการฝึกฝนกลยุทธ์ แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์เท่าเกมหมากล้อม ความแตกต่างระหว่างเกมหมากรุกฝรั่งกับเกมหมากล้อมนั้นมีดังต่อไปนี้

(1) หมากรุกฝรั่งมี 64 ตา และ 32 ตาถูกยึดครองด้วยหมากชนิดต่างๆ ตั้งแต่เริ่มต้นเกม ขณะที่หมากล้อมมีจุดตัด 361 จุด และเริ่มต้นจากกระดานที่ว่างเปล่า หมากต่างๆ ในหมากรุกฝรั่งมีความเคลื่อนไหวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน เช่น ม้า บิสชอป เรือ ควีน คิง เบี้ย ขณะที่เม็ดหมากของหมากล้อมแค่วางลงบนจุดตัดในกระดานที่จุดไหนก็ได้อย่างเสรี (ยกเว้นจุดที่ผิดกติกา)

(2) หมากรุกฝรั่งเป็น เกมในเชิงยุทธวิธี (tactical game) ซึ่งพึ่งพาการวิเคราะห์ด้วย สมองซีกซ้าย เป็นหลัก ขณะที่หมากล้อมนอกจากจะใช้ยุทธวิธีเหมือนหมากรุกฝรั่งแล้ว ยังเน้นไปที่การใช้กลยุทธ์ (strategy) เป็นหลัก ซึ่งต้องพึ่ง ญาณทัสนะ (intuition) จาก สมองซีกขวา ของผู้เล่นเป็นสำคัญ ขณะที่เซียนหมากรุกฝรั่งระดับโลกกล้าที่จะฟันธงว่า หมากรุกฝรั่งเป็นเรื่องของยุทธวิธีถึง 99% แต่จะไม่มีเซียนหมากล้อม (โกะ) คนไหนที่กล้าฟันธงเช่นนั้นในเกมหมากล้อม

(3) ความเป็นไปได้ของเกมหมากรุกฝรั่งจะอยู่ที่ 10120 (สิบยกกำลังหนึ่งร้อยยี่สิบ) ขณะที่ความเป็นไปได้ของเกมหมากล้อมจะอยู่ที่ 10170 (สิบยกกำลังหนึ่งร้อยเจ็ดสิบ) หรือมากกว่านั้น

(4) หมากรุกฝรั่งมีสนามรบแค่สนามเดียว ซึ่งถ้าฝ่ายใดได้เปรียบในสนามนั้น อีกฝ่ายก็ยากจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้ ขณะที่ หมากล้อมมีสนามรบได้มากกว่าห้าสนามของหมากรุกฝรั่ง และต่อให้เราพ่ายแพ้ในบางสนามรบ ก็ยังสามารถชนะสงครามทั้งกระดานได้

(5) ปัจจุบันโปรแกรมคอมพิวเตอร์หมากรุกฝรั่งที่ดีที่สุดสามารถเอาชนะแชมป์โลกหมากรุกฝรั่งได้แล้ว แต่โปรแกรมคอมพิวเตอร์หมากล้อมที่ดีที่สุด ยังแค่สามารถเอาชนะนักหมากล้อมมือสมัครเล่นในฝีมือระดับกลางๆ ได้เท่านั้น

(6) มีเซียนหมากรุกฝรั่งระดับอาจารย์จำนวนไม่น้อยที่หันไปเล่นหมากล้อมแทน และกล้าประกาศว่า เกมหมากล้อมเป็นเกมที่เหนือกว่า แต่ยังไม่มีเซียนหมากล้อมระดับอาจารย์คนไหนที่หันไปเล่นหมากรุกฝรั่งแทน และกล้าประกาศว่า เกมหมากรุกฝรั่งเป็นเกมที่เหนือกว่า

(7) ขณะที่เกมหมากรุกฝรั่งเป็นเรื่องของการกินกัน กำจัดกันจนไม่เหลือฝ่ายตรงข้ามคือขุนหรือคิง ส่วนเกมหมากล้อมโดยเฉพาะเกมที่แต่ละฝ่ายมีฝีมือทัดเทียมกันจะเป็นเรื่องของการแบ่งปัน ต่างฝ่ายต่างได้พื้นที่ไปครองกันมากกว่า โดยที่ผู้ชนะคือผู้ที่ได้เปรียบพื้นที่มากกว่านิดหน่อยเท่านั้น กล่าวโดยนัยนี้ เกมหมากล้อม จึงเป็นเกมที่สามารถสู้รบแบบอหิงสาได้ หรือแค่ป้องกันตัวเองเฉยๆ อย่างเดียว ก็ยังสามารถเป็นฝ่ายชนะได้ ซึ่งถ้าเป็นเกมหมากรุกฝรั่งจะไม่มีทางทำเช่นนั้นได้

แม้จะมีความแตกต่างกันมากขนาดนี้ แต่ทั้งเกมหมากรุกฝรั่งและเกมหมากล้อม ต่างก็เป็นเกมกระดานที่น่าทึ่ง น่าหลงใหลทั้งคู่ (ผู้เขียนเองก็ชื่นชอบทั้งหมากรุกฝรั่งและหมากล้อม) เพียงแต่หมากล้อมนั้นลุ่มลึกกว่า ซับซ้อนกว่า และน่าท้าทายกว่าในเชิงกลยุทธ์เท่านั้น ทรอย แอนเดอร์สัน ผู้เขียน "วิถีแห่งโกะ" (The Way of Go) (2004) อันโด่งดังได้กล่าวว่า วิถีแห่งโกะหรือวิถีแห่งหมากล้อม ก็เฉกเช่นวิถีอื่นๆ ในศาสตร์ตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นวิถีแห่งศิลปะการต่อสู้ หรือวิถีแห่งการชงชาคือ การเดินหน้าเพื่อเข้าถึงสัจธรรมของวิชานั้น ซึ่งสำหรับ วิถีแห่งหมากล้อมแล้วคือ การมุ่งเข้าถึง "หัตถ์เทวะ" หรือการวางหมากที่สมบูรณ์แบบดุจเทพเจ้าแห่งหมากล้อมเป็นผู้วางหมากด้วยตนเอง ในสถานการณ์นั้นๆ



เซียนโกะ (Go master) ที่แท้จริงจะเดินอยู่บนวิถีแห่งหมากล้อมอย่างไม่มีวันหยุดยั้งเพื่อเข้าถึง หมากล้อมที่แท้จริง เหมือนอย่างที่มือกระบี่ที่แท้จริงย่อมเดินอยู่บนวิถีกระบี่เพื่อเข้าถึงความจริงของกระบี่อันเป็นกระบวนการแสวงหาที่ไม่มีวันสิ้นสุด เพื่อที่จะค้นพบว่า หมากล้อม หรือกระบี่มันเป็นยิ่งกว่าหมากล้อมหรือเป็นยิ่งกว่ากระบี่ แต่มันคือการเผยตัวออกมาของตัวธรรมจิต (Spirit) เอง และศิลปะทั้งหลายที่สะท้อน "ความจริง ความดี ความงาม" ของจักรวาล (Kosmos) จากแง่มุมมิติต่างๆ ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาจากภูมิปัญญาของมนุษยชาติต่างก็เป็นการเผยตัวออกมาของตัวธรรมจิตนี้ทั้งสิ้น

แก่นแท้ของภูมิปัญญาหมากล้อมนั้น อยู่ที่ ปรัชญาจักรวาล (Kosmos) ในหมากล้อม ปรัชญาจักรวาลในสายตาของเต๋านั้น มุ่งที่จะค้นหา "แนวทาง" ในความเปลี่ยนแปลง หรือศึกษาความเปลี่ยนแปลงในจักรวาฬเพื่อค้นหาหลักเกณฑ์ที่แน่นอนของความเปลี่ยนแปลง เพื่อที่จะได้ดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของจักรวาล (เต๋า) ในฐานะที่ชาวเต๋ามองว่า ร่างกายของคนเราก็เป็น "โลก" อันน้อยนิด โดยที่รอบกายของคนเราก็เป็นอีกโลกหนึ่ง การศึกษาเต๋าจึงเป็นการศึกษาหลักแห่งธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงของโลกทั้งสอง คือโลกภายในตัวเรากับโลกภายนอกตัวเรา เพื่อบูรณาการหรือหลอมรวมโลกทั้งสองนี้ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน หรือเป็นหนึ่งเดียวกับเต๋า หรือจักรวาลนั่นเอง

คัมภีร์อี้จิงของเต๋าถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อการศึกษาธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงอันนี้ โดยที่ หมากล้อมเป็นศิลปะแห่งการศึกษา หลักการของการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาโดยเหล่าอัจฉริยะแห่งเต๋าในยุคโบราณ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ที่เดินอยู่บนวิถีเต๋าหรือผู้ที่กำลังฝึกฝนตนเองตามแนวทางเต๋า สามารถหลอมรวม ปรองดองเป็นหนึ่งเดียวกับเต๋า หรือจักรวาฬได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยผ่านศาสตร์และศิลปะชั้นสูงแห่งเต๋าอย่างหมากล้อม เช่นเดียวกับมวยไท้เก๊ก และสมาธิเต๋าหรือเซน

หมากล้อม ส่งเสริม สมอง และสติปัญญาของผู้นั้นให้ปรองดอง เป็นหนึ่งเดียวกับเต๋าในระดับใจ และความคิด

มวยไท้เก๊ก ส่งเสริม กาย และลมปราณของผู้นั้นให้เคลื่อนไหว เป็นหนึ่งเดียวกับเต๋าในระดับกาย และพลังชีวิต

สมาธิเต๋า หรือเซน ส่งเสริม กาย-ใจ-ปราณของผู้นั้นให้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของผู้นั้น เพื่อ เป็นหนึ่งเดียวกับเต๋าในระดับจิตวิญญาณ



อู๋ชิงหยวน ปรมาจารย์หมากล้อมแห่งศตวรรษที่ 20 เป็นผู้ที่น่าจะถือได้ว่าเข้าถึง ปรัชญาจักรวาลในหมากล้อมนี้มากที่สุดคนหนึ่ง กิมย้งนักเขียนนิยายกำลังภายในชื่อดัง ก็เป็นผู้หนึ่งที่เลื่อมใสในอาจารย์อู๋ชิงหยวน เพราะกิมย้งเองโดยส่วนตัวก็ชอบเล่นหมากล้อมอยู่แล้ว แต่ที่ตัวเขาเลื่อมใสอาจารย์อู๋ชิงหยวนนั้น ไม่ใช่แค่เพราะพรสวรรค์อันเปี่ยมล้นของตัวอาจารย์อู๋ชิงหยวนเท่านั้น แต่เพราะ อาจารย์อู๋ชิงหยวนเป็นยอดนักหมากล้อมแห่งศตวรรษที่ 20 คนแรกที่สามารถนำเอาศิลปะแห่งเกมกีฬาอย่างหมากล้อม ที่มุ่งเน้นในการแพ้ชนะอย่างเดียวนี้ มายกระดับให้สูงส่งขึ้นถึงขั้นสุดยอดแห่งภาวะความเป็นมนุษย์แบบเต๋าได้

อาจารย์อู๋ชิงหยวน ต่างจากนักหมากล้อมฝีมือเลอเลิศทั่วไป ตรงที่นักหมากล้อมฝีมือเลอเลิศนั้น เกิดขึ้นบ่อยในทุกยุค แต่ยอดปรมาจารย์แห่งวงการหมากล้อมนานที นับเป็นหลายร้อยปีถึงจะปรากฏขึ้นสักครั้ง ความยิ่งใหญ่ของอาจารย์อู๋ชิงหยวนนั้นอยู่ที่ท่านได้นำหลักธรรมของเซนเรื่อง การประคองสภาวะของจิตอันเป็นปกติในทุกสถานการณ์ มาใช้ในเกมการแข่งขันที่ดุเดือดอย่างหมากล้อมอย่างประสบความสำเร็จ

ท่านใช้หมากล้อมเป็นศิลปะในการบ่มเพาะสภาวะจิตแบบเซน หรือสภาวะแห่ง "จิตอันเป็นปกติ" นี้ ซึ่งทำให้สำหรับตัวท่านแล้ว การเล่นหมากล้อม มิใช่เกมที่ไร้สาระ ผลาญพลังงานและผลาญเวลาไปเปล่าๆ มิหนำซ้ำยังทำให้เกิดอัตตายึดติดในผลแพ้ชนะอันเป็นโทษที่แลเห็นได้ชัดของการหมกมุ่นในหมากล้อมที่ต้องระวังให้มาก กล่าวโดยนัยนี้เราต้องถือว่า อาจารย์อู๋ชิงหยวนประสบความสำเร็จในการยกระดับการเล่นหมากล้อม การฝึกฝนหมากล้อมของท่านให้กลายเป็นวิถีธรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งเซนและเต๋า เพื่อการชำระจิตใจของตนเอง

ด้วยเหตุนี้ อาจารย์อู๋ชิงหยวนถึงกล้านำเสนอแนวคิดแบบเต๋าที่ว่าด้วย "ความปรองดองกับจักรวาล" ในหมากล้อม โดยหลักการนี้มุ่งที่จะสร้างดุลยภาพให้เกิดขึ้นในเกมการแข่งขัน เน้นการสร้างสรรค์แปลกใหม่ในแต่ละเกม เพิ่มมิติมุมมองใหม่เชิงศิลปะในเกมหมากล้อม มากกว่าการให้ความสำคัญในเรื่องผลแพ้ชนะ

"ลำพังแค่การค้นคว้าทางเทคนิคอย่างเดียว เราไม่สามารถที่จะเข้าถึงหรือบรรลุถึงสภาวะแห่ง "ตรงกลาง" นี้ได้ เพราะ "ตรงกลาง" นี้มันจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา พร้อมๆ กับหมากแต่ละหมากที่ได้วางลงไป ผู้ที่จะเข้าถึงสภาวะนี้ได้ จะต้องเป็นผู้ที่สามารถทำจิตของตนให้ใสกระจ่างดุจกระจกที่สามารถสะท้อนภูมิปัญญาอันล้ำเลิศของจักรวาลออกมาในการเดินหมากแต่ละหมากที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้"

เพราะหมากล้อมเป็นโลกที่ไร้รูปไร้ขอบเขตที่ไม่อาจควบคุมหรือจัดการได้ด้วยเทคนิคล้วนๆ หรือด้วยเทคนิคแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น วิถีของปรมาจารย์หมากล้อมอย่างอู๋ชิงหยวน จึงอยู่ที่แค่มุ่งค้นหา "ตรงกลาง" ในท่ามกลางความไร้รูปไร้ขอบเขตของหมากล้อมเท่านั้น ไม่มีอย่างใดอื่นอีก และผลพวงของการแสวงหาการค้นหานี้คือ การค้นพบหลักการหรือ หลักความจริงของหมากล้อม หรือ ประกาศิตของหมากล้อม ที่ใครก็ไม่อาจละเมิดได้ หาไม่แล้วเมื่อคนผู้นั้นได้พบกับคู่ต่อสู้ที่เข้าใจหลักความจริงของหมากล้อมนี้ได้ลึกซึ้งกว่า เขาก็จะได้รับความเจ็บปวดจากบทเรียนราคาแพงเสมอ แก่นแท้ของหลักกลยุทธ์ก็ล้วนแฝงอยู่ในหลักความจริงของหมากล้อม หรือประกาศิตของหมากล้อมนี้ทั้งสิ้น

คุณูปการที่ยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่งของอาจารย์อู๋ชิงหยวน ที่มีต่อวงการหมากล้อมสมัยใหม่ก็คือ ท่านกล้าสลัดทิ้ง "หลักความจริงแบบเก่า" ของหมากล้อมที่เชื่อกันมานับร้อยๆ ปีว่า หมากล้อมจะต้องเดินจากมุมสู่ด้านข้างสู่ตรงกลางกระดานตามลำดับนี้เสมออย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ อาจารย์อู๋ชิงหยวนในวัยหนุ่มน้อยเพียงแค่ 19 ปี ก็กล้าคิดนอกกรอบ ด้วยการนำเสนอแนวคิดใหม่เกี่ยวกับการเปิดเกมที่ไม่ยึดติดกับหลักการเดิมในอดีต แต่เริ่มจากมุมมองใหม่ที่มองว่า "หลักความจริงแบบใหม่" ของหมากล้อมก็คือ เสรีภาพที่จะเลือกวางหมากได้อย่างอิสรเสรีตรงไหนก็ได้ โดยคำนึงถึงดุลยภาพและความปรองดองของหมากทั้งกระดานเป็นสำคัญ



นี่คือการปฏิวัติทางความคิดเกี่ยวกับหมากล้อมในวงการหมากล้อมของอู๋ชิงหยวนโดยแท้ เพราะเป็นการนำเสนอว่า โลกของหมากล้อม คือจักรวาลอันไร้ขอบเขต ซึ่งเป็นมุมมองที่ไม่มีนักหมากล้อมคนไหนในญี่ปุ่นก่อนหน้านั้น กล้านำเสนอมาก่อนนับร้อยๆ ปีมาแล้ว จากความเข้าใจใหม่อันนี้ เมื่อเรามาศึกษาถึงประกาศิตต่างๆ ของหมากล้อม เพื่อประโยชน์ในการศึกษาเรื่องหลักกลยุทธ์ เราจะได้ บทเรียนเชิงกลยุทธ์จากหลักความจริงของหมากล้อม ต่างๆ ดังต่อไปนี้

(1) อย่าเดินหมากครึ่งๆ กลางๆ

(2) อย่าทำร้ายหมากของตนเอง หากจำต้องสละหมากบางส่วน ก็เพื่อที่จะได้ผลประโยชน์ในทางอื่นตอบแทนกลับคืนมาเสนอ

(3) อย่าหมกมุ่นอยู่กับการสู้รบ จนกลายเป็นสู้เพื่อที่จะสู้เท่านั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงผลได้ผลเสียในแต่ละสนามรบเลย การสู้อย่างหัวชนฝา อย่างตาบอดเช่นนี้ จะนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ในสงครามเท่านั้น

(4) จงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเกมที่ตัวเองเล่น จนกระทั่ง ความหมายของเกมนั้นในขณะนั้นคือ โลกทั้งหมดของผู้เล่นคนนั้นในขณะนั้น

(5) ผู้ที่ไม่สามารถเคลื่อย้าย สลับปรับเปลี่ยนมุมมองในระดับภาพรวมกับในระดับเฉพาะส่วน ได้อย่างดังใจ ย่อมพ่ายแพ้ต่อผู้ที่สามารถทำเช่นนั้นได้ ในขณะดำเนินกลยุทธ์เสมอ

(6) หนึ่งหมากคือหนึ่งโอกาสเสมอ ในกระดานที่หมากเริ่มถูกถมเต็มยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โอกาสที่หมากๆ หนึ่งจะส่งผลสะเทือนต่อสถานการณ์โดยรวมก็จะยิ่งลดน้อยลงตามลำดับ

(7) ทั้งในหมากล้อมและในชีวิตจริง ความได้เปรียบจากการเป็น "มือนำ" จะดำรงอยู่เสมอ

( อย่าเดินหมากที่ช่วยให้ฝ่ายตรงข้ามสามารถเล่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ

(9) อย่าเล่นหมากช่วงปิดเกมก่อนช่วงกลางเกม และอย่าเล่นหมากช่วงกลางเกมก่อนช่วงเปิดเกม เราต้องเล่นหมากที่เหมาะสมกับขั้นตอนที่เรากำลังอยู่ในเกม

(10) ชัยชนะในหมากล้อมจะมีกับผู้ที่เคารพความจริงที่ว่า เราไม่สามารถรู้ความเป็นไปได้ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นในเกม เราจึงต้องยอมรับความไม่แน่นอนนี้ และปรับตัวให้เข้ากับความไม่แน่นอนหรือความเปลี่ยนแปลงนี้ให้ดีที่สุด โดยที่ชัยชนะเป็นเพียงผลพลอยได้ของการปรับตัวนี้เท่านั้น

(11) อย่ายึดติดกับแผนการที่วางไว้ก่อนหน้านั้น แผนการมีไว้ยกเลิก

(12) ต้องคิดใหม่ และคิดใหม่อยู่เรื่อยๆ เพราะทุกเกมในหมากล้อมเป็นเกมใหม่สดที่ไม่เคยซ้ำรอยเลย และชีวิตก็เช่นกัน

(13) หมากที่วางลงไปแล้วขยับไม่ได้ ต่อให้เดินพลาด เดินไม่ดีไปแล้ว ก็ต้องยอมรับหมากที่ตัวเราได้เล่นไปแล้ว

(14) จงเดินหมากที่ให้ประโยชน์ได้หลายทาง

(15) เราไม่มีทางรู้จิตใจของคู่ต่อสู้ โดยดูแค่หมากของเขาเท่านั้น

(16) รูรั่วเล็กๆ อาจกลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่ได้ ต้องเอาใจใส่ แม้แต่จุดอ่อนเล็กๆ น้อยๆ ในกลุ่มหมากของตน เกมทั้งเองอาจพลิกคว่ำพ่ายแพ้ได้ ถ้าผู้เล่นสนใจแต่ภาพใหญ่เท่านั้น โดยขาดความละเอียดรอบคอบในเรื่องเล็กๆ งานด่วนจึงต้องมาก่อนงานใหญ่เสมอ

(17) จงเดินหมากอย่างลื่นไหล ไม่หนักไป ไม่อ่อนไป ไม่แน่นไป ไม่หลวมไป

(1 โจมตีไม่ใช่เพื่อฆ่า แต่โจมตีเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์

(19) วิถีของหมากล้อมคือ การแสวงหาหมากที่ดีที่สุดอย่างไม่มีวันจบสิ้น และพยายาม "ก้าวข้าม" หลักความจริงแบบเก่าเสมอ

ภูมิปัญญาหมากล้อมเพื่อการเข้าถึงแก่นแท้ของกลยุทธ์นั้น มีอย่างอุดมสมบูรณ์ยิ่งเท่าที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น เป็นแค่บางส่วนเท่านั้น

สุดท้ายแล้วผู้นั้นก็ต้องกระโดดเข้ามาศึกษาด้วยตนเอง เพื่อเข้าถึงด้วยตนเอง ภูมิปัญญาแห่งกลยุทธ์จากหมากล้อม จึงจะกลายเป็นของคนผู้นั้นได้

บทความตัดตอนจาก
http://www.suvinai-dragon.com
http://www.geocities.com/geogoclub

ภาพประกอบ
http://www.kiseido.com/printss


ปิดท้ายด้วย หนึ่งในสุภาษิตเตือนใจจากโกะ

จุดตาย คือจุดที่ต้องแย่งยึด

ถ้าคุณยึดจุดตายคู่ต่อสู้ได้ คู่ต่อสู้จะลำบาก ...ถ้าคุณปิดจุดตายตัวเองได้ คุณจะไร้จุดอ่อน

ไม่มีความคิดเห็น: